ตอนที่แล้วได้รู้จัก ปริ้นซ์ ไปบ้างแล้ว คราวนี้มาทำรู้จักปริ้นซ์กันต่อ หลังจากปรับตัวปรับใจจากแบงค์ได้แล้ว ปริ๊นซ์ก็ได้รับมอบหมายให้ดูแล ดล
“ดล อายุประมาณ ๗ ขวบ ตอนรับดลมา พี่เขาบอกว่าน้องเป็นเด็กพิเศษนะ แต่ผมดูแล้วก็ว่าเขาไม่เห็นมีอะไรผิดปกติเลย นอกจากสายตาสั้น ซึ่งได้มารู้ทีหลังว่าเพราะความที่น้องสายตาสั้นจึงทำให้เขาเรียนรู้ได้ช้า
“แรกๆ ที่รับน้องออกมาเล่น เขาก็จะยังเกร็งๆ อยู่ พูดอะไรไปก็ไม่ค่อยโต้ตอบเท่าไร แต่พอเราได้คุยได้เล่นกันบ่อยๆ คือช่วงนั้นผมมาทุกวันเลย ไม่ได้มาเฉพาะแค่วันเสาร์ ก็เลยทำให้เราสนิทกันมากขึ้น ที่สำคัญคือ หลังจากรับเป็นพี่อาสาฯให้ดลได้ ๓ วัน ผมก็ได้น้องพ่วงมาแบบไม่เป็นทางการอีก ๒ คน คือเจษกับรักษ์ เพราะเขาเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน อยู่บ้านเดียวกัน สองคนนั้นก็ได้เจอปรินซ์บ่อย จนคิดว่าเราเป็นพี่ของเขาอีกคน (หัวเราะ)”
ปริ๊นซ์ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนั่งเล่น นั่งคุย ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันว่าใครเป็นอย่างไร รู้สึกอย่างไร คุยกันเหมือนพี่กับน้อง กระโดดกอดคอกันบ้างตามประสาเด็กผู้ชาย วันไหนถ้าน้องอยากให้อ่านนิทานให้ฟังก็จะพากันไปนั่งอ่านนิทาน หรือถ้าน้องอยากหัดเขียนหนังสือก็เขียน การเป็นพี่อาสาสำหรับปรินซ์ไม่มีรูปแบบตายตัว ว่าวันนี้จะต้องให้น้องเรียนรู้เรื่องอะไร ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความสนใจของน้องๆ เป็นอันดับแรก
“มีอยู่ครั้งหนึ่ง ดลเขาพูดกับผมว่า “พี่ป๊รินซ์เค้าจะบอกอะไรให้ เค้าชอบส้มแหละ ส้มน่ะ อยู่ที่โรงเรียน ” ผมก็ “เหรอ แล้วส้มสวยมั้ยล่ะ” ก็บอก “ไม่รู้” ผมก็ “ถ้างั้นพี่ไปถามเจษนะ” เขาก็บอก “ไม่เอาๆ” คืออายไง แต่มันก็ทำให้ผมรู้ว่าเขาเปิดใจที่จะคุยด้วยมากขึ้น”
แต่ความสุขดำเนินอยู่เพียงเดือนกว่าๆ ก็ถึงวันที่น้องๆ ต้องแยกย้ายกันไปอยู่ที่อื่น…
“ตอนนี้ดลย้ายไปอยู่บ้านบางละมุง ชลบุรี คือทางนั้นเด็กน้อย แล้วเขาก็เลยขอมา ส่วนเจษไปอเมริกากับครอบครัวอุปถัมภ์
“ตอนที่เจษไปนี่สุดๆ เหมือนกัน คือเช้าวันที่เขาไปผมก็จะมารับเขาออกไปเล่นตามปกติ พอ ๑๑ โมง แม่ที่ตึกก็มาเรียก (เด็กที่นี่จะเรียกผู้ดูแลว่าแม่) พอเขาอยู่กับพ่อแม่อุปถัมภ์ เขาไม่ได้กอดเราหรือว่าอะไรนะ คือเขาจะมีฟอร์มของเขา แต่พอเขาเดินมาเอารองเท้าข้างๆ ตึก ผมก็เดินไปหา แล้วเขาก็กระโดดมากอดคอผม เพราะปกติเราจะเล่นกันแบบนี้อยู่แล้ว แล้วเขาก็กระซิบที่ข้างหูว่า ไปแล้วนะ แค่นั้นละครับ ร้องไห้กัน”
เมื่อถามว่า ห่วงไหมที่น้องต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น ปรินซ์บอกเต็มปากเต็มคำว่า
“ห่วงครับ อย่างแบงค์นี่ก็ตามไปเยี่ยมเหมือนกัน ส่วนดลคิดว่า ถ้าดลยังไม่ได้ไปต่างประเทศก็อยากดูแลเขาต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ครับ ที่ตั้งใจไว้คืออยากไปดูเขาสักเดือนละ ๒ ครั้ง แต่ก็ไม่รู้ว่าถ้าเปิดเทอมแล้วจะทำได้หรือเปล่า ก็ห่วงอยู่ แต่คิดว่า ถ้าเรายังดูแลเขา เหมือนเขายังมีเรา มีปัญหาอะไรเขาคุยกับเราได้ ก็น่าจะดีครับ ส่วนเจษที่ได้ไปกับครอบครัวอุปถัมภ์ ก็คิดว่าน้องน่าจะโอเค เพราะอย่างน้อยก็มีคนดูแลเขาคนเดียว รู้สึกว่าเด็กที่นี่เขาต้องการให้คนดูแลเขาคนเดียว เป็นของเขาคนเดียว เลยคิดว่าอย่างเจษคงไม่ค่อยน่าเป็นห่วง”
“พอดลกับเจษไป ก็ได้มาดูแล น้องสืบ ต่อ คนนี้อายุ ๕ ขวบ คือสืบนี่เขาเห็นผมบ่อย แล้วก็จะคอยบอกตลอดว่า พี่ปริ๊นซ์รับสืบนะ เหมือนเขารู้ว่าดลจะย้ายบ้านไงครับ ต่อมาครูนก ก็เลยให้ปรินซ์มาดูสืบ น้องคนนี้ก็เตรียมจะไปฟินแลนด์อีกแล้วครับ (หัวเราะ)
ชีวิตเปลี่ยน…ด้วยรักที่ถูกเติมเต็ม
แม้ว่าจะต้องพบกับความพลัดพรากซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เขาเชื่อว่าความผูกพันนั้นยังคงติดอยู่ในความทรงจำที่ดีของเขาเสมอ
“ความรู้สึกที่เราให้ไปกับเด็กแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน เพราะเขามีความน่ารักกันคนละแบบไม่มีใครแทนใครได้ น้องคนใหม่ก็คือน้องที่เราต้องดูแลเขา เราต้องให้เขาเต็มที่เพราะว่าน้องก็ให้กับเราเต็มๆ เหมือนกัน
“แต่ช่วงที่เลี้ยงดลกับเจษนั้น ต้องบอกว่า น้องเปลี่ยนชีวิตผมครับ เปลี่ยนทัศนคติ เปลี่ยนทุกอย่าง จากที่เคยรู้สึกว่าตัวเองขาด ด้วยพื้นฐานครอบครัวอย่างที่บอกว่าพ่อแม่แยกทางกันไปมีครอบครัวใหม่ ตลอดระยะเวลา ๑๙ ปีที่ผ่านมา จากที่เคยรู้สึกว่าเราไม่มีใคร ไปเรียนก็เรียน แต่กลับบ้านดึกมาก ถามว่าระหว่างที่ยังไม่ได้กลับบ้านทำอะไร ก็ไม่ได้ทำอะไร เดินเล่นไปเรื่อยๆ ทำให้รู้สึกว่า ทำไมชีวิตมันผ่านไปอย่างไม่มีคุณค่า พอมาเจอตรงนี้ เหมือนเขามาเติมเต็มให้ชีวิตเรา แต่ผมก็ไม่รู้นะ ว่าน้องๆ เขาได้อะไรจากเรามากแค่ไหน แต่สิ่งที่เราได้จากเขานี่มันเต็มๆ เลย มันเหมือนเขาเป็นห่วงเราน่ะ คือ….”
ปรินซ์นิ่งอึ้งไปพัก ก่อนเล่าต่อว่า
“พูดแล้วน้ำตาจะไหล … คือมันเหมือนเขาทำให้ความรู้สึกเราสมบูรณ์ขึ้นน่ะครับ และก็ทำให้เรากล้าที่จะรักคนอื่นมากขึ้น มันเป็นอะไรที่ไม่คิดว่าเด็กอายุ 7 ขวบจะให้แก่เราได้ เขาช่วยให้ความคิดลบๆ ทั้งหมดของผมหายไป กลายเป็นความคิดบวก และบางอย่างที่เราเคยทำไม่ดี เรารู้สึกว่าเราต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้วนะ เพราะเราต้องมาเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับน้อง ถ้าเรายังทำตัวให้ดีไม่ได้แล้วจะสอนน้องให้ดีได้อย่างไร ก็เลยรู้สึกว่า เราเมื่อก่อนเที่ยวกลางคืนเยอะ ใช้เงินเยอะ มันไม่เป็นผลดี รวมถึงความคิดด้วย ผมไม่มีแฟนและไม่กล้ามี เพราะคิดว่ายังไม่สามารถให้อะไรดีๆ แก่คนอื่นได้ และพอมาทำตรงนี้รู้สึกลงตัวมากขึ้นและเริ่มคิดว่าตัวเรา มีคุณค่าพอที่จะมอบสิ่งดีๆ ให้คนอื่นได้บ้าง”
นอกจากนี้ การทำงานอาสาสมัครนี้ยังช่วยให้ปฏิสัมพันธ์ระหว่างเขากับคุณลุง ราบรื่นขึ้นด้วย
“ปกติส่วนใหญ่เราไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่ แต่หลังๆ เขาคงแปลกใจ ว่าทำไมผมออกจากบ้านทุกวัน วันหนึ่งผมก็เลยนั่งคุยกับเขา คือปรินซ์รู้สึกว่าวันไหนที่เรากลับไปเร็วได้กินข้าวกับเขาแล้วเขาจะดีใจไงครับ วันนั้นก็เลยถามเขาว่า ลุงรู้หรือเปล่าว่าปรินซ์ไปไหนมาทุกวันๆ เขาบอก นึกว่าผมไปเรียนพิเศษ พอบอกว่าไปเป็นอาสาสมัครที่บ้านปากเกร็ดน้อยใจหรือเปล่าที่ผมไม่ค่อยได้กลับมากินข้าวเย็น เขาก็บอก “จะน้อยใจทำไม ก็เราทำดีแล้ว
“จริงๆ แล้ว การมาทำงานอาสาตรงนี้มันทำให้เราโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นด้วย ให้เราเรียนรู้มากขึ้นและทำให้รู้จักที่จะต้องเสียสละมากขึ้น รู้จักวางแผน แบ่งเวลา รับผิดชอบ และการปรับตัวปรับใจ ผมคิดว่าคงมีอะไรดีๆ ที่เปลี่ยนแปลงในตัวเราเกิดขึ้นบ้างเมื่อเราต้องกลับไปใช้ชีวิตในสังคมข้างนอก”
เมื่อถามถึงความประทับใจ ปริ๊นซ์นิ่งคิดอยู่นานก่อนที่จะตอบว่า
“ไม่รู้ว่าประทับใจตรงไหน แต่ความรู้สึกมันค่อยๆ เพิ่มขึ้นๆ ทุกวัน จนถึงวันหนึ่งที่น้องเขาต้องไปอยู่ที่อื่น วันนั้นเราถึงได้รู้ว่าที่ผ่านมาเรามีความสุขทุกวัน
“ถ้าเป็นไปได้ อยากเจอกันอีกอยากขอบคุณน้องมากกว่าครับ…ขอบคุณที่เขาช่วยเปลี่ยนชีวิตผมให้ดีขึ้น” ปริ๊นซ์ กล่าวพร้อมรอยยิ้ม
หนุ่มน้อยเล่าเพิ่มเติมว่า “กับพี่ๆ อาสาสมัครเอง ผมก็รู้สึกดีนะ อย่างหนึ่งที่รับรู้คือ คนที่มาทำตรงนี้เขาต้องจิตใจดี ทำให้บรรยากาศโดยรอบมันดีขึ้นด้วย อาสาสมัครแต่ละคนเขาคุยกันดีเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน มันเป็นอีกสังคมที่ผูกพันกัน และเป็นสังคมที่ไม่มีพิษมีภัยแน่นอน อาสาสมัครบางคนเขาจริงจังมาก อย่างป้าไก๊ ที่น้องย้ายไปอยู่บ้านเฟื่องฟ้า เขาก็ยังแบ่งเวลามาเลี้ยงเด็กที่บ้านปากเกร็ดครึ่งวัน แล้วตามไปเลี้ยงน้องที่โน่นอีกครึ่งวัน หรือป้าทิพย์ ผมสงสารแกมากเลย เมื่อวานน้องเขาเพิ่งไปฟินแลนด์ ป้าแกเลี้ยงน้อง มา ๔ ปี ขนาดผมเจอกันแค่นิดเดียวยังเสียใจเลย”
นอกจากความสุขและความประทับใจที่ปรินซ์ได้รับจากเด็กๆ และทีมอาสาสมัครที่สถานสงเคราะห์แห่งนี้แล้ว เขายังรู้สึกภูมิใจเล็กๆ ว่า “อย่างน้อยเราสร้างประโยชน์ให้สังคมตรงนี้ แม้จะเป็นสังคมเล็กๆ แต่มันก็เพียงพอแล้วสำหรับผม”
สำหรับคนที่สนใจอยากเป็นอาสาสมัครแบบนี้บ้าง ปรินซ์แนะนำว่า ให้ถามตัวเองก่อนว่า คุณมีเวลาพอไหมเพราะเป็นโครงการระยะยาว และคุณใจเย็นพอที่จะดูแลเด็กเล็กที่มีธรรมชาติที่แตกต่างกันได้หรือไม่ ถ้าได้ก็อยากให้ลองเปิดใจเข้ามา แล้วจะพบว่า ที่นี่มีสิ่งดีๆ อีกมากให้ได้สัมผัส “เพราะปัญหาสังคมทุกวันนี้มีมากมาย แต่อย่างน้อย ถ้ามีองค์กรที่เห็นความสำคัญของปัญหาเด็ก แล้วช่วยๆ กันหลายๆ หน่วยงาน หลายๆ คน ผมว่าสังคมของเราน่าจะดีขึ้นได้…”