ทุกวันอาทิตย์ที่บ้านเด็กอ่อนปากเกร็ด เราจะเห็นเด็กหญิงวัยรุ่นคนหนึ่งก้มๆ เงยๆ คอยจับเด็กชายวัยขวบเศษให้เดิน วิ่ง เล่น ป้อนข้าว กระทั่งพาอาบน้ำ และจบท้ายแห่งครึ่งวันนั้น ด้วยการพาน้องชายตัวน้อยไปส่งที่ห้องของเขา
น้องด้าย หรือ รสนันท์ สิมะเสถียร อายุ 14 ปี อาสาเข้าร่วมโครงการอาสานวดเด็ก พลังแห่งการเปลี่ยนแปลงร่วมกับคุณแม่ตั้งแต่ต้นปี2553 (ตลอดระยะเวลา 5 เดือน) กระทั่งโครงการจบไปแล้ว เธอก็ยังมาหาน้องชายอยู่ทุกวันอาทิตย์
แรกเริ่มของการตัดสินใจมาเป็นอาสาสมัคร โครงการสัมผัสกายสัมผัสรักครั้งนี้ของน้องด้าย เพราะเธอคิดอยากจะทำงานเพื่อคนอื่น ประกอบกับคุณแม่ของเธอเองเริ่มมีเวลาว่าง หลังจากที่ลูกชายและลูกสาวเติบโตกระทั่งเป็นวัยรุ่นแล้ว จึงคิดอยากหวนกลับไปทำงานเพื่อสังคม ดังเช่นเมื่อครั้งที่ยังเป็นนักศึกษา และเคยทำงานออกค่ายของมหาวิทยาลัย
น้องด้ายเอ่ยถึงความตั้งใจแรกของตัวเองว่า
“หนูชอบน้องอยู่แล้ว บางทีเห็นเด็กที่ขาดความอบอุ่น แล้วก็สงสารและมันเป็นอะไรที่ไม่ได้ใช้เงิน ไม่สิ้นเปลือง ไปเที่ยวข้างนอกมีความสุขก็แค่ตอนไปเที่ยว แต่พอมาเลี้ยงน้องมันเหมือนกับเราสุขกาย สุขใจอะไรอย่างนี้”
จะว่าไปก็ใช่ว่าน้องด้ายจะไม่มีชีวิตสดใสร่าเริงดังเช่นวัยรุ่นทั่วไป ด้วยวัยที่อยากรู้อยากลองและต้องการแสดงความเป็นตัวตน เธอมีกลุ่มเพื่อนที่ชอบและสนิทสนม เลือกคบคนที่มีเข้ากันได้ทั้งแนวคิด ค่านิยม หลังสอบเสร็จน้องด้ายจะได้ไปรื่นเริงกับเพื่อนๆ ในวัยเดียวกัน เช่น ดูหนังในโรงภาพยนตร์ โดยมีคุณแม่คอยรับส่ง กระทั่งกระแสฮิตดารานักร้องเกาหลี น้องด้ายก็ติดกระแสนิยมนี้ด้วย ครอบครัวน้องด้ายอนุญาตให้เธอไปดูคอนเสิร์ต แต่…
“ไปบ่อยๆ แล้วมันก็เริ่มเบื่อ เหมือนมันเริ่มมากเกินไปคะ บัตรแพง ไปซื้ออย่างอื่นดีกว่า เสียดายเงิน เพราะหนูนั่งเก็บเงินซื้อบัตรเอง” น้องด้ายบอกถึงเหตุผลของการค่อยๆ เลิกนิยมคลั่งไคล้นักร้องเกาหลีไปในระยะหลังๆ
และเมื่อเธอเริ่มต้นอาสาเลี้ยงน้องกับโครงการนี้ ทำให้หลายอย่างในตัวเธอค่อยๆ เปลี่ยนไป
เริ่มต้นเข้าโครงการนี้ครั้งแรก น้องด้าย “ลุ้น” ว่าตัวเองจะได้เลี้ยงน้องของตัวคนเดียวหรือไม่ เนื่องจากเจ้าหน้าที่เห็นว่าเธอยังเด็ก ควรจะได้เลี้ยงน้องร่วมกับคุณแม่ของตัวเอง แต่ด้ายตัดสินใจขอเลี้ยงเองคนเดียว
แล้วน้องด้ายก็มีโอกาสเลี้ยงน้องของตัวเอง ครั้งแรกเธอได้น้องผู้หญิง ซึ่งเธอพึงใจเป็นอย่างมาก แต่พอสัปดาห์ถัดมาเธอกลับได้เลี้ยงน้องผู้ชาย ทำเอาน้องด้ายกลับไปนั่งบ่นอุบ นอนร้องไห้ คิดถึงน้องผู้หญิงคนแรกอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เธอจะหันกลับมาให้ความรักและเอาใจใส่น้องชายตุ้ยนุ้ย ตาโต คนนี้ของเธอตลอด 5 เดือนที่ผ่านมา
ทุกเช้าวันอาทิตย์น้องด้ายและแม่กุ้งจะตื่นแต่เช้า เพื่อรีบมายังบ้านเด็กอ่อนปากเกร็ด น้องด้ายจะกุลีกุจอไปรับน้องของเธอจากห้องเลี้ยงเด็กประจำเพื่อนำน้องชายมาเล่นที่ตึกอาสาสมัคร (ตึก8)
“เวลาเลี้ยงน้องมีความสุขค่ะ เคยเหมือนกันตอนแรกๆ น้องจะเชื่อฟังเรา แต่พอไปสักพักหนึ่ง ทำไมไม่เชื่อฟังเราเลย บอกให้มาทางนี้ เขาก็จะวิ่งไปทางโน่น ลงไปดิ้นกับพื้นอะไรอย่างนี้ หนูก็จะหงุดหงิดบ้าง….แต่ก็อดทน …น้องโตขึ้นก็เริ่มเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น…สักพักก็ชิน แล้วก็เข้าใจน้องค่ะ..” น้องด้ายเล่าถึงประสบการณ์เลี้ยงน้องของเธอด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
แม้จะอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเรียน เพราะเธอกำลังต้องเตรียมตัวเพื่อสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 อีกทั้งทำกิจกรรมของโรงเรียน ที่เธอรับหน้าที่เป็นเชียร์ลีดเดอร์ จนแม่กุ้งเริ่มเป็นห่วงลูกสาวของตัวเองกลัวการเรียนจะแย่ลงจากเกรดที่ได้ 3.7 ในปัจจุบัน อีกทั้งต้องเรียนพิเศษเพื่อกวดวิชาเตรียมสอบ และยังมีกิจกรรมของโรงเรียนที่แม่กุ้งดูแล้ว อาจจะมากเกินไปสำหรับลูกสาวของตัวเองในช่วงนี้ จึงขอให้ลูกสาวหยุดกิจกรรมเลี้ยงน้องไว้สักพักหนึ่ง
แต่…น้องด้ายไม่ยอมหยุด เธอขอแม่กุ้งจัดสรรเวลาเพื่อมาเลี้ยงน้องได้ทุกสัปดาห์
“เรามาที่นี่ เหมือนเราได้ให้สิ่งดีๆ กับเด็กอีกคนหนึ่ง เรารู้สึกว่าเขาได้ความรักจากเรา ความอบอุ่นจากเรา จากเด็กที่ไม่มีคนดู ที่เขาขาดตรงนี้ ซึ่งเรารู้สึกว่าอย่างน้อยเราก็ได้เป็นส่วนหนึ่งที่ได้ทำอะไรที่มันเป็นประโยชน์ เพราะถ้าเขาไม่ได้เป็นปัญหาของสังคม อย่างน้อยสังคมมันก็น่าจะดีไปบ้างแล้วละค่ะ”
สิ่งหนึ่งที่เด็กหญิงวัยรุ่นผู้นี้ได้รับการจากการเป็นอาสาสมัครเลี้ยงน้องคือ เธอเชื่อว่าการได้มาเลี้ยงน้องที่บ้านปากเกร็ดคือ วิธีคลายความเครียดของตัวเอง เธอเล่าว่า ช่วงที่ผ่านมาต้องเรียนอย่างหนัก ทั้งเรียนในโรงเรียนและเรียนกวดวิชาเพื่อทำการเรียนของตัวเองให้ได้ดีที่สุด บางครั้งเธอเครียดและเบื่อ วิธีการหาความเพลิดเพลินของน้องด้ายคือ มาเลี้ยงน้อง เธอบอกว่าเลี้ยงน้องเพื่อคลายเครียดแล้วจึงไปเรียนต่อ วิธีคิดของน้องด้ายน่าสนใจทีเดียว
น้องด้ายเอ่ยในตอนสุดท้ายของบทสนทนาว่า
“…หนูว่ามันไม่จำเป็นต้องเก่งอย่างเดียวถึงจะประสบความสำเร็จ เหมือนอย่างตอนนี้หนูมีความสุข..สอบเสร็จได้เที่ยวกับเพื่อนบ้าง ดูหนังดูอะไรบ้างแล้วก็ต้องเรียน มันเหนื่อยค่ะ แต่พอมาเลี้ยงน้องมันมีความสุข อะไรอย่างนี้นะ…เหมือนมีเพื่อนเล่น แม้จะเหนื่อยแต่หนูมีความสุข เพราะมันเป็นสิ่งที่หนูชอบ แค่เห็นรอยยิ้ม ได้ยินเสียงหัวเราะของน้อง ได้กอดน้อง เหนื่อยแค่ไหนก็ยิ้มออกนะ อีกอย่างถ้าทำอะไรที่หนูชอบ หนูจะมีความมั่นใจว่าทำอย่างนี้ หนูจะทำได้ดีด้วย….”
เราอาจพูดได้อย่างเต็มปากว่า สาวน้อยคนนี้ได้ค้นพบความรักในรูปแบบใหม่ที่น้อยคนนักในช่วงวัยเดียวกันจะมีโอกาสได้รู้จัก