”ถ้าใจไม่รัก ทำไม่ได้หรอก เพราะการที่จะดั้นด้นมาที่นี้ โดยไม่มีรถ มันเหนื่อยมาก สิ่งที่ทำ ไม่ใช่เป็นการทำบุญ แต่ที่ทำเพราะอยากให้น้องมีความสุขเท่านั้นก็พอ”
“ถัวเจี่ยจื่อ ซู่ฟ่าง” “ เซี่ย ๆ”
เสียงภาษาจีนไต้หวันที่“ เฉินเจีย อิน” พูดกับเด็กชายวัยขวบเศษ ที่ชื่อว่า “คันศร” พร้อมกับมือที่ประคองให้น้องถอดรองเท้า แล้วบอกให้เอาแก้วน้ำไปเก็บแม้มีความเฉียบขาด แต่ก็อ่อนโยน อบอุ่นอยู่ในที เป็นภาษาที่ทั้งสองเข้าใจกันอย่างดีตลอด และเป็นภาพที่ประทับอยู่ในใจผู้ที่ได้พบเห็น
ตลอดระยะเวลาปีกว่า ที่เจียอิน ได้เข้ามาเป็นอาสาสมัครโครงการจิตอาสานวดเด็ก เธอไม่เคยขาดการมาดูแลน้องเลยสักครั้งเดียว ไม่ว่าปัญหาอุปสรรค์ใดๆ ที่พานพบทั้งเรื่องภาษา ระยะทางที่ไกลโข จากพระประแดงมาถึงปากเกร็ด งานธุรกิจส่วนที่รัดตัว หรือการไม่ยอมรับของน้องเมื่อแรกพบ
เจียอินเล่าต่อถึงวันแรก ๆ ที่เธอได้เข้ามาร่วมโครงการนี้
“วันแรกๆ ที่มาเป็นอาสาสมัครน้ำตาไหลตลอด ไม่คิดว่าจะมีเด็กๆ ที่ไม่มีพ่อแม่ดูแลเยอะขนาดนี้ เด็กๆ อยู่ในวัยอนุบาล แต่พวกเขาไม่มีใครมาดูแล มารับกลับบ้าน ตลอดเดือนแรก ร้องไห้ทุกครั้ง ทำใจไม่ได้ว่าทำไมมีเด็กเยอะแยะขนาดนี้ที่ไม่มีพ่อแม่”
เจียอินได้รับมอบหมายให้ดูแลน้องศร เธอมาที่สถานสงเคราะห์แห่งนี้เป็นประจำทุกวันพฤหัส โดยจะมาแต่เช้า แล้วรีบไปรับน้องที่บ้าน “เห็นหน้าน้องครั้งแรกก็รักเขา รักเขามากๆ มาหาน้องต่อเนื่องสัก ๒ เดือน เขาก็เริ่มจำได้และไว้วางใจเรา พอน้องเห็นเดินมาแต่ไกล ก็จะรีบวิ่งเข้ามาหา มีอยู่ช่วงหนึ่งอยากรับเขาไปเลี้ยงที่บ้านมากเลย แต่ที่บ้านเป็นคนจีน แบบนี้เขาคงยังรับไม่ได้” “
แววตาที่ฉายความสุขของหัวใจน้อยๆ นี่เองที่ทำให้เจียอินมาดูแลน้องเป็นประจำ แม้จะต้องนั่งรถมาหลายทอด ค่าแท็กซี่ไป-กลับแต่ละครั้งไม่ต่ำกว่าห้าหกร้อยบาท พี่ดาวของเธอบอกสำทับว่า ”ถ้าใจไม่รัก ทำไม่ได้หรอก เพราะการที่จะดั้นด้นมาที่นี้ โดยไม่มีรถ มันเหนื่อยมาก” แต่เจียอินทำได้ เธอบอกว่า ”สิ่งที่ทำ ไม่ใช่เป็นการทำบุญ แต่ที่ทำเพราะอยากให้น้องมีความสุขเท่านั้นก็พอ”
แม้ว่าเจียอินมุ่งมั่นที่จะดูแลน้องอย่างดีสม่ำเสมอ แต่ครั้งหนึ่งเกือบถอดใจ เพราะไม่นานมานี้ น้องเริ่มโตอายุครบขวบ กลับไม่ยอมรับเจียอินเลย เจอหน้าทีไรก็ร้องไห้และไม่ยอมเข้าใกล้ เจียอินน้อยใจมาก เธอคาดว่าอาจเป็นเพราะเธอดุเกินไป อย่างเช่น ไม่ยอมให้เล่นปากกาบ้าง ให้กินข้าวให้เรียบร้อยบ้าง ไม่อยากให้ของตก แต่เด็กวัยนี้ทำไม่ได้ จึงทะเลาะกัน
ครูนก,น้องตาล (เจ้าหน้าที่โครงการฯ)ให้กำลังใจและบอกว่าน้องเริ่มโตและเป็นตัวของตัวเองแล้ว บังคับมากไปไม่ได้ น้องแสดงท่าทีปฏิเสธเจียอินอยู่นานเกือบ ๓ เดือน แต่ระหว่างนั้นเจียอิน ก็ยังมาดูแลน้องตลอดไม่เคยขาด ด้วยความอดทนอย่างมาก ๆ
การที่ได้มาเป็นอาสาสมัครในโครงการนี้ ทำให้ “ใจเย็นขึ้นค่ะ เพราะต้องหัดทำใจ เวลาเลี้ยงน้อง บางครั้งก็ต้องยอมเขาบ้าง เขาเริ่มเป็นตัวของตัวเอง จะบังคับทุกอย่างไม่ได้ ตอนนี้ทำอะไรต้องใจเย็นและรอบครอบขึ้นด้วย จะทำอะไรต้องคิดหลายรอบ ไม่ใช่ครั้งเดียวแล้วตัดสินใจเลย ซึ่งสิ่งเหล่านี้นำไปใช้ในการทำงานได้ดี”
จากเหตุผลเพียงแค่อยากเรียนรู้เรื่องของสังคมไทยกลับกลายเป็นความรัก ความผูกพัน มีทั้งให้และรับความสุขแก่กัน เกิดเป็นช่วงเวลาดีๆ ที่เด็กน้อยคนหนึ่งที่เฝ้ารอคอย ให้มือและใจที่อบอุ่นของผู้ใหญ่สักคนมาประคับประคองดูแลเขาเป็นพิเศษ สิ่งวิเศษจึงเกิดขึ้นกับหัวใจทั้งสองดวง
“เด็กที่นี่ของใช้ ของกินไม่เคยขาด ทุกอย่างมีครบ ขาดแต่ความอบอุ่นอย่างเดียว สิ่งนี้ทำให้เรา ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน ยุ่งแค่ไหนเราก็ต้องมา มาอุ้มเขา มากอดเขา”
ตัวอย่างบันทึกประจำวัน
พี่เจียอิน ♥ น้องคันศร (๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๑)
He car walk better than last time without myhelp. But he don’the new food. Too hard to chew. Whenever we love shower he’s happy and make happy sound. Today he dance when there music. This is the fresh day I can walk by dimself. The start to have his our self really. Sometimes I call his name,he doesn’t care. I think I have to accept a new Sorn.