ชะมดต้น วัชพืชสมุนไพร

 

ชะมดต้น เป็นพืชอยู่ในสกุล Abelmoschus ซึ่งมีรายงานระดับโลกว่ามีอยู่ 12 ชนิด และนับจำนวนในไทยพบเป็นพืชท้องถิ่นได้ถึง 5 ชนิด ได้แก่ 1.) ชะมดเหลือง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Abelmoschus angulosus Wall. ex Wight & Arn. 2.) กระเจี๊ยบละว้า มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Abelmoschus crinitus Wall. 3.) ปอแก้วหรือปอฝ้าย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Abelmoschus manihot (L.) Medik. 4.) ชะมดต้น มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Abelmoschus moschatus Medik. 5.) โสมชบา มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Abelmoschus rhodopetalus F.Muell.

พืชในสกุลนี้ยังมีอีก 1 ชนิด ที่หลายคนคิดไปว่าเป็นพืชไทยไปแล้ว แต่แท้จริงนำเข้ามาปลูกเป็นการค้าในประเทศไทย คือ กระเจี๊ยบเขียAbelmoschus esculentus (L.) Moench ซึ่งเป็นพืชท้องถิ่นของอินเดีย บังคลาเทศและเมียนมาร์ ปัจจุบันมีการกระจายอยู่ในอินเดีย จีน เมียนมาร์ และภูมิภาคอินโดจีน ในไทยพบทุกภาค ขึ้นตามที่โล่ง ริมลำธาร ชายป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง และป่าดิบชื้น ในระดับความสูง 200–1000 เมตร

ชะมดต้น มีชื่อสามัญในภาษาอังกฤษหลายชื่อ เช่น Abelmosk, ambrette seeds, annual hibiscus, Bamia Moschata, Galu Gasturi, muskdana, musk mallow ส่วนชื่อท้องถิ่นในไทยเรียก เช่น ชะมัดต้น ฝ้ายผี (ภาคกลาง) เทียนชะมด (ทั่วไป) จั๊บเจี๊ยว (ไทยบางแห่ง) หวงขุย (จีนกลาง) ถ้านับวงศาคณาญาติก็ต้องบอกว่า ชะมดต้นเป็นพืชอยู่ในวงศ์ชบา (Malvaceae) เป็นพืชล้มลุก อายุปีเดียว ใบเดี่ยว ผิวใบมีขนรูปดาวทั้งสองด้าน ก้านใบยาว ดอกเดี่ยว กลีบดอกสีเหลือง โคนกลีบสีแดง เกสรตัวผู้จำนวนมาก เชื่อมติดเป็นท่อยาว เมล็ดรูปไต มีกลิ่นฉุนเหมือนไขของชะมดที่เป็นสัตว์ คนไทยจึงเรียกชื่อชะมดต้นนั่นเอง ในประเทศฝรั่งเศสมีการสกัดน้ำมันหอมระเหยจากชะมดต้นมาทำน้ำหอมมาอย่างยาวนานแล้ว

ปัจจุบันมีการนำมาใช้ประโยชน์ทางยากันค่อนข้างน้อย ในอดีตเคยพบเป็นวัชพืชขึ้นทางข้างทางจำนวนมาก แต่ในปัจจุบันพบเห็นได้น้อยมาก ยกเว้นบริเวณที่ยังไม่ถูกรบกวนมากหรือสถานที่ยังไม่มีการก่อสร้างอะไรมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในชนบทที่ห่างไกลจากตัวเมือง ซึ่งน่าคิดว่าการปล่อยพื้นที่ว่าง ๆตามธรรมชาติก็มีความสำคัญมากเช่นกัน

ในประเทศลาวเรียกชะมดต้นว่า “ปอตาเสือ” หรือ “ปอส้มชิง” ภาคอีสานก็เรียกว่า “ปอตาเสือ” เช่นเดียวกัน มาจากลักษณะด้านในของดอกมีสีม่วงเข้มล้อมรอบด้วยกลีบสีเหลือง ทำให้เกิดจินตนาการว่าเปรียบเหมือนตาเสือ ส่วนชื่อที่เรียกว่าปอส้มชิง เพราะเปลือกนำมาใช้ทำเชือกได้ ซึ่งคนลาวและคนอีสานเรียกเชือกว่า “ปอ” และส่วนยอดกินได้มีรสเปรี้ยว ตามภาษาอีสานและลาวเรียกรสเปรี้ยวว่า “ส้ม” นั่นเอง

เมล็ดของชะมดต้นนี้ทางแพทย์แผนไทยเรียกว่า “เทียนชะมด” มีสรรพคุณใช้เป็นยาบำรุงธาตุ ขับลม บดกับน้ำนมใช้ทาแก้หิด ถ้าเคี้ยวจะได้กลิ่นเหมือนชะมดเช็ด เมล็ดบดเป็นผง ใช้โรยตู้เสื้อผ้าเพื่อป้องกันแมลง น้ำมันที่กลั่นจากเมล็ดใช้ทำน้ำหอม เมล็ดใช้แต่งกลิ่นกาแฟ ใบใช้รับประทานเป็นผัก ภูมิปัญญาของชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนแนะนำไว้ว่า ผลแก่ไม่ควรเก็บมากินเพราะเชื่อว่าจะทำให้มีอาการคล้ายคนสติไม่ดี ทำอะไรลงไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ส่วนรากมีสารเหนียวใช้เป็นกาวในงานทำกระดาษ ใบใช้ทาแก้ขี้กลาก เมล็ดใช้แต่งกลิ่นอาหารและใช้เข้ายาขับลมเช่นกัน ชาวอาข่าปลูกชะมดต้นไว้เป็นยารักษาโรคและใช้เป็นสิ่งทอ โดยนำรากมาทำเป็นพลาสเตอร์ปิดแผล และนำรากและเปลือกไปแช่น้ำเพื่อแยกเส้นใยออกมา แล้วนำไปย้อมสีใช้ทำเครื่องประดับศีรษะของผู้หญิงอาข่า

ในอินเดียตามตำราอายุรเวทมีสรรพคุณขับปัสสาวะ แก้ไข้ ลดการอักเสบ ควบคุมฮอร์โมนเพศหญิง และใช้เป็นยาแก้พิษงูกัดซึ่งตรงกับประเทศลาวใช้เมล็ดรักษาพิษที่งูกัด และอิมัลชัน (emulsion) จากเมล็ด (อิมัลชัน หรือของเหลว 2 ชนิดที่ผสมรวมกันได้ เช่น น้ำกับน้ำมันที่ผสมรวมกันได้) มีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อและใช้ภายนอก ใช้เป็นยาฆ่าแมลงและยาปลุกอารมณ์ทางเพศ น้ำมันจากเมล็ดซึ่งมีกลิ่นมัสก์(Musk) ที่มีกลิ่นแรงจึงใช้ในอุตสาหกรรมน้ำหอม (ปัจจุบันส่วนใหญ่ถูกแทนที่ด้วยน้ำมันมัสก์สังเคราะห์) และใช้แต่งกลิ่นกาแฟ

จากการศึกษาเชิงลึกพบว่าทุกส่วนของชะมดต้นให้สารสำคัญและน้ำมันหอมระเหยหลายชนิด เช่น

การศึกษาในหนูทดลองกับศักยภาพในการขับปัสสาวะที่ขนาดยา 200 มก./กก. เมื่อนำใบชะมดต้นนำมาสกัดด้วยปิโตรเลียมอีเธอร์ คลอโรฟอร์ม และแอลกอฮอล์ พบว่าสารที่สกัดโดยใช้แอลกอฮอล์มีประสิทธิภาพสูงสุดในการเพิ่มปริมาณปัสสาวะและการขับอิเล็กโทรไลต์ในปัสสาวะ รองลงมาคือสารสกัดคลอโรฟอร์มและปิโตรเลียมอีเธอร์

การศึกษาผลชะมดต้นในหนูทดลองเช่นกัน พบว่าสารน้ำมันและน้ำมันระเหย เช่น กรดลิโนเลอิก (Linoleic acid) ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายกินแล้วส่งเสริมสุขภาพดี ผลการทดลองพบว่าหนูที่ได้รับอาหารที่พร่องกรดลิโนเลอิก ทำให้ผิวหนังล่อนเป็นสะเก็ด ทำให้ขนร่วง และทำให้แผลหายช้า และในผลชะมดต้นยังพบสาร ไมริเซติน (Myricetin) มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ เซฟาเล็กซิน (a-Cephalin) เป็นยาปฏิชีวนะเซฟาโลสปอรินชนิดหนึ่งที่ใช้รักษาการติดเชื้อแบคทีเรีย เป็นต้น

สารสำคัญในเมล็ดและต้นชะมด พบสารฟอสฟาติดิลเซอรีน (Phosphatidylserine) ที่ช่วยปกป้องเซลล์ในสมอง สารไขมันชนิดนี้จะส่งสัญญาณในสมองเพื่อช่วยความจำและการทำงานของระบบรับรู้ สารพลาสมาโลเจน (Plasmalogen) มีบทบาทสำคัญในกระบวนการสื่อสารของเซลล์ และป้องกันการอักเสบ ใช้ในโรคอัลไซเมอร์ เป็นต้น ทั้งต้นนำมาสกัดได้สารไมริเซติน (myricetin) จากการทดลองในหนูที่เหนี่ยวนำให้เป็นเบาหวาน พบว่าสารนี้ไปกระตุ้นให้มีการใช้กลูโคลสเพิ่มขึ้นและไปเพิ่มการทำงานของอินซูลินต่อกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคอ้วนในหนูได้ด้วย

สารสกัดจากเมล็ดชะมดต้น ช่วยปรับปรุงริ้วรอย เนื้อผิว ความยืดหยุ่นของผิว และความหนาแน่นของผิวได้อย่างมีนัยสำคัญ จึงมีการนำมาใช้ในเครื่องสำอาง และดอกและเมล็ดมีสารกลิ่นหอม เรียกว่า แอมเบรตโตไลด์ (Ambrettolid) ที่มีความหอมเหมือนไขของตัวชะมดเช็ดใช้ทำให้น้ำหอมคงทนยาวนาน

ชะมดต้นเป็นวัชพืช ที่มีคุณค่าอนันต์ เป็นสมุนไพรที่ควรหนุนนำมาใช้ประโยชน์ให้มาก และขออย่าพัฒนาที่ดินให้เป็นอาคารใหญ่ ให้เหลือที่ธรรมชาติให้วัชพืชงอกงามบ้าง.

https://www.thefest.com/Images/acetoto888/ https://www.thefest.com/Images/acegaming888/ https://www.thefest.com/Images/plazaslot/
slot thailand