หลังปลดล็อกกัญาชาออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษประเภท 5 เพื่อมุ่งหมายตั้งใจให้ใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ แต่ก็พบว่าธุรกิจกัญชาแนวสันทนาการเติบโตขึ้น มาวันนี้ทางกระทรวงสาธารณสุขเพิ่งเปิดรับฟังความคิดเห็นต่อ (ร่าง) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 (กัญชา) ที่จะนำส่วนช่อดอกกัญชากลับเข้าไปอยู่ในบัญชียาเสพติด ผลจะเป็นอย่างไรอีกไม่นานคงรู้
ที่แน่ ๆ ในเวลานี้มีคุณแม่มาปรึกษากับทางมูลนิธิสุขภาพไทยว่า ลูกชายวัยยี่สิบชอบหาซื้อกัญชามามวนสูบเป็นประจำ ปิดห้องอยู่ตามลำพัง และให้เหตุผลกับคุณแม่ว่าเมื่อหาซื้อได้ไม่ผิดกฎหมายก็ไม่น่าจะมีโทษอะไร ส่วนหัวอกคุณแม่คงเหมือนแม่ทุกคนที่ห่วงใยลูก ก็อยากหาสมุนไพรอะไรที่จะช่วยให้เลิกสูบกัญชา
บางคนก็แนะว่าเมื่อลูกทำงานเป็นหลักแหล่งอีกสักพักก็จะค่อย ๆ ห่างกัญชา แต่บางคนก็บอกว่าไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะหากเพลิดเพลินกับกัญชานาน ๆ และมากเกินไป อาจเข้าข่ายมีอาการติดกัญชา ผู้เชี่ยวชาญให้สังเกตว่า หากใช้กัญชาต่อเนื่องไปสักพัก แล้วเมื่อรู้สึกเครียด ไม่สบายใจ วิตกกังวลแล้วชอบใช้กัญชาคลายเครียด พอจะหยุดหรือเลี่ยงใช้กัญชาแต่ก็ทำไม่ค่อยได้ ยังวนเวียนโหยหากัญชาจนเสียการเรียนหรือทำงานไม่ค่อยมีสมาธิ แบบนี้ชักไม่ดีแน่เข้าข่ายพึ่งพิงกัญชากระทบต่อชีวิตในระยะยาวแน่นอน
ในมุมสมุนไพรกับการแก้ปัญหายาเสพติดนั้น เริ่มมีการพูดถึงตำรับยาหรือตัวยาสมุนไพรหลายขนาน หากสืบค้นในตำราการแพทย์แผนไทยของขุนโสภิตบรรณลักษณ์ เล่ม 3 กล่าวไว้ว่า “ยาทำให้อดฝิ่น เอาขี้ยา 2 สลึง เถาวัลย์เปรียงพอประมาณ กันชาครึ่งกรัม ใบกระท่อม เอาให้มากกว่ายาอย่างอื่น ต้มกิน ให้กินตามเวลาที่เคยสูบฝิ่น เมื่อกินไป 1 ถ้วย ให้เติมน้ำ 1 ถ้วย ให้ทำดังนี้จนกว่าจะจืด เมื่อกินจนน้ำจืดแล้วยังไม่หาย ให้ต้มกินหม้อใหม่ต่อไป” ปัจจุบันมีการนำตำรับยาตามภูมิปัญญานี้มาปรับสูตร โดยเอาขี้ยาออกเพราะหาขี้ยาหรือยาฝิ่นที่เหลือจากการสูบฝิ่นแล้ว ไม่สามารถหาได้เนื่องจากฝิ่นเป็นยาเสพติดที่ผิดกฎหมาย ซึ่งทางกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกนำตำรับยานี้มาเป็นทางเลือกในการรักษาผู้ติดยาเสพติดประเภท ยากลุ่มแอมเฟตามีน หรือ ยาบ้า
ตำรับยาที่มีการพูดถึงมากอีกตำรับยาหนึ่งเรียกว่า “ยา 3 ราก” ซึ่งเป็นความรู้การแพทย์พื้นบ้านที่นำมาใช้เลิกเหล้า แล้วต่อมานำมาใช้แก้ติดยาเสพติดจำพวกยาบ้า สรรพคุณดั้งเดิมใช้ขับพิษ ถอนพิษสุราออกจากร่างกายโดยทำให้อาเจียน ตัวยา 3 ชนิด คือ รากพญารากเดียวหรือรากปลาไหลเผือก รากโลดทะนงแดง และรากพญาไฟ นำมาทำเป็นยาฝน (รากฝนกับน้ำสะอาด) กินครั้งละประมาณ ½ – 1 แก้ว (250 ซีซี) กินแล้วจะอาเจียนมากทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย จึงต้องอยู่ในความดูแลของหมอพื้นบ้านหรือแพทย์แผนไทยที่เชี่ยวชาญ บางครั้งจะกินยา 1 วัน เว้นไป 2 วัน เพื่อให้ผู้ป่วยได้พักร่างกาย และดูอาการของคนไข้ด้วย ให้กินยาสลับห่าง ๆ เช่นนี้สัก 2 – 3 ครั้ง ผู้ติดเหล้าหรือยาเสพติดจะรู้สึกร่างกายสบายขึ้น
แต่ถ้าไม่อยากอาเจียน แนะนำชาชงรางจืด ตามสรรพคุณดั้งเดิมใช้ถอนพิษเบื่อเมา พิษจากอาหาร พิษจากเห็ด พิษไข้ แก้ร้อนใน แก้อาการเมาค้างและพิษสุราเรื้อรัง ปัจจุบันมีการนำมาใช้เป็นทางเลือกช่วยให้เลิกยาบ้าหรือถอนพิษยาเสพติดจำพวกแอมเฟตามีน วิธีใช้สะดวกมาก ๆ ให้นำใบสดตากแห้งเก็บไว้ นำมาชงหรือต้ม ดื่มเป็นเครื่องดื่มอุ่น ๆ หรือใช้ตามข้อมูลรายการบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร ที่กล่าวว่า รางจืดสำหรับถอนพิษไข้ แก้ร้อนใน ถอนพิษเบื่อเมา ในรูปแบบยาแคปซูล กินครั้งละ 500 มิลลิกรัม – 1 กรัม วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร และยาชงขนาดครั้งละ 2 – 3 กรัม ชงกับน้ำร้อน 120 – 200 มิลลิลิตร ดื่มวันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร ก็ได้เช่นกัน
ภูมิปัญญาท้องถิ่นยังใช้สมุนไพรที่ใช้ถอนพิษ แก้ผิดสำแดง ซึ่งมีการนำมาใช้ลดอาการติดยาเสพติดในปัจจุบันด้วย เช่น เอารากย่านางแดง กับรากมะปรางหวาน ฝนกับน้ำ ให้ได้ปริมาณอย่างละเท่าๆ กัน ฝนจนน้ำขุ่นแต่ไม่ถึงกับข้น กินครั้งละครึ่งแก้วถึง 1 แก้ว วันละ 3-4 ครั้ง หรือทุก 2 ชั่วโมง แล้วแต่อาการหนักเบา ตำรับนี้ถ้าหารากมะปรางหวานไม่ได้ให้ใช้รากย่านางแดงอย่างเดียวได้ ถ้าไม่อยากขุดราก ให้ใช้เถาย่านางแดงสับมาความยาว 1 คืบ นำมา 3 ชิ้น หรือ 7 ชิ้น ใส่น้ำให้ท่วมตัวยา ต้มให้เดือดให้มีสียาออกมา ให้กินครั้งละครึ่งแก้ว กินต่อเนื่องอีก 2-3 ครั้ง
ตำรับยาสมุนไพรที่หลายคนอาจนึกไม่ถึงว่าเป็นยาถอนพิษและมีการนำมาใช้แก้พิษยาเสพติด นั่นคือ การใช้ผักบุ้งแดง 1-2 กำมือ ใส่น้ำให้ท่วมยา ใส่น้ำตาลแดงสัก 1-2 ช้อนโต๊ะ หรือแต่งรสพอหวานๆ ต้มให้เดือดนาน 5-10 นาที กินครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3-4 ครั้ง
ปัจจุบันมีตำรับยาสมุนไพรอีกหลายตำรับที่นำมาแก้ไขปัญหาการติดยาเสพติด แต่ก็ขอให้เข้าใจว่าสมุนไพรทุกตำรับนั้นเป็นเพียงกระบวนการทางเลือกหนึ่งในการบำบัดรักษา และอาการติดยาเสพติดรุนแรง กลาง ๆ หรือเล็กน้อยก็ใช้วิธีรักษาจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญในการรักษาต่างกัน ผลสำเร็จของการเลิกยานั้น ได้พิสูจน์มาแล้วว่าขึ้นกับสิ่งต่อไปนี้ที่จะต้องทำไปพร้อม ๆ กัน ได้แก่ ความมุ่งมั่นตั้งใจของผู้ป่วย การให้กำลังใจและฟื้นฟูจิตใจให้เข้มแข็ง พร้อมทั้งการออกกำลังกายสม่ำเสมอ ครอบครัวช่วยปรับสภาพแวดล้อมที่สำคัญคือสร้างความอบอุ่นที่จะโอบอุ้มและเป็นแรงหนุนให้ก้าวข้ามยาเสพติด การสนับสนุนให้มีกิจกรรมหรืองานทำที่ภาคภูมิใจ รวมถึงส่งเสริมงานอดิเรก เช่น กีฬา ดนตรี ศิลปะ การทำอาหารต่าง ๆ
และกิจกรรมที่ทำร่วมกันและมีประโยชน์ตามสรรคุณสมุนไพรด้วย นั่นคือ ทำกระโจมอบสมุนไพรทุกสัปดาห์ ครั้งละ 2 รอบ รอบละ 10 นาที ออกมาพักสัก 5 นาที แล้วเข้าไปอบใหม่อีก 10 นาที เพียงเท่านี้ร่างกายได้ขับของเสีย ขับพิษยาเสพติด ช่วยให้ร่างกายสดชื่น เลือดลมไหลเวียนดี หายใจสะดวก ช่วยให้หลับสบายด้วย
การอบสมุนไพรนี้เป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่เคยแนะนำคุณแม่ให้มีกิจกรรมครอบครัว ทำกระโจมอบสมุนไพรให้ลูกชายที่กำลังเคลิ้มได้ห่างไกลกัญชาสันทนาการบ้าง.