เดี๋ยวนี้ใคร ๆ ก็รู้ว่ามะเร็งเป็นโรคที่คร่าชีวิตคนไทยมากที่สุดเป็นลำดับต้น ๆ ไม่น้อยกว่าโรคหัวใจและโรคทางสมอง แต่มักไม่รู้ว่ามะเร็งร้ายที่ทำให้คนไทยตายมากที่สุดทะลุเกิน 30,000 คน ต่อปี คือ มะเร็งตับ ซึ่งติดอันดับหนึ่งของมะเร็งที่ทำให้ผู้ชายไทยเสียชีวิต และเป็นอันดับสองของมะเร็งที่เป็นสาเหตุการตายในผู้หญิง ผู้ชายจึงเสี่ยงตายจากมะเร็งตับมากกว่าผู้หญิงถึง 3 เท่า เพราะพฤติกรรมดื่มแอลกอฮอล์ของผู้ชายสูงกว่าผู้หญิงนั่นเอง นี่ถ้าหากรัฐบาลเคาะนโยบายเปิดผับถึงตีสี่ ไทยเราจะได้เงินสะพัดจากการท่องเที่ยวหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ คือ สถิติผู้ป่วยมะเร็งตับเพศชายพุ่งทะลุชาร์ตแน่นอน
ตับ ตับ ตับ ตับเป็นเครื่องในที่ใหญ่ทึ่สุดในร่างกายและรับภาระหน้าที่สำคัญหลายอย่าง ได้แก่
1.การสังเคราะห์โปรตีนจากกรดอะมิโน ซึ่งเป็นโปรตีนที่จำเป็นต่อการสร้างเนื้อเยื่อในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย รวมไปถึงควบคุมการผลิตเอนไซม์และฮอร์โมนต่าง ๆ อีกด้วย 2.ช่วยสร้างอัลบูมินซึ่งเป็นโปรตีนที่อยู่ในกระแสเลือดถึง 60 % มีหน้าที่สำคัญ เช่น การดึงสารน้ำต่าง ๆ ที่รั่วออกจากกระแสเลือดกลับมาในหลอดเลือด การหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อต่าง ๆ และการขนส่งฮอร์โมน วิตามิน ยา และแร่ธาตุต่าง ๆ ไปทั่วร่างกาย 3.สร้างวิตามิน K เพื่อควบคุมการแข็งตัวเลือด ตับยังสร้างและกักเก็บวิตามิน เกลือแร่อีกหลายชนิดที่จำเป็นต่อร่างกาย 4.รักษาระดับกลูโคส ตับทำหน้าที่กักเก็บน้ำตาลกลูโคสส่วนเกินในเลือดเอาไว้ในรูปของไกลโคเจน และเมื่อร่างกายต้องการพลังงานเร่งด่วน ตับก็จะเปลี่ยนไกลโคเจนที่เก็บไว้กลับมาเป็นกลูโคสให้ร่างกายได้นำไปใช้เป็นพลังงาน 5.สร้างน้ำดี ที่มีทำหน้าสำคัญในการช่วยย่อยไขมัน และช่วยดูดซึมไขมันในลำไส้เล็กเข้าสู่ร่างกาย 6.กรองสารพิษและเชื้อโรคออกจากร่างกาย นอกจากการขับสารพิษออกไปยังระบบขับถ่ายแล้ว ตับยังกรองและกำจัดแบคทีเรียออกจากกระแสเลือดด้วย
สรุปได้ว่า ถ้าตับดีซะอย่างเดียว ก็ช่วยให้กลไกหลาย ๆ อย่างในร่างกายดีไปด้วย แม้ตับจะเป็นอวัยวะที่อึดมากเพราะทั้งใหญ่และหนักได้ถึง 15 กิโลกรัม แต่เมื่อต้องทำหน้าที่กรองสารพิษ และเชื้อโรคร้ายนานาชนิดออกจากร่างกาย เป็นเวลานานหลายสิบปี ตับย่อมเสื่อมสภาพ ได้รับพิษติดเชื้อเสียเอง เช่น ไขมันพอกตับ ดีซ่าน ตับอักเสบ ตับโต ตับแข็ง ไวรัสตับอักเสบ และกระทั่งเป็นมะเร็งตับ ดังนั้น จึงต้องมีองครักษ์พิทักษ์ตับให้แข็งแรงอยู่เสมอด้วย
หนึ่งในสมุนไพรทางเลือกที่ใช้บำรุงตับมาแต่โบราณคือ ลูกใต้ใบ (ภาคกลาง) ซึ่งมีหลายชื่อเรียกตามท้องถิ่นได้แก่ หญ้าใต้ใบ (นครสวรรค์ อ่างทอง ชุมพร) หญ้าใต้ใบขาว (สุราษฎร์ธานี) มะขามป้อมดิน(ภาคเหนือ) หมากไข่หลัง (เลย) เป็นต้น หมอไทยพื้นบ้านไม่ได้แยกแยะพืชสมุนไพรตามหลักสัณฐานวิทยาของวิชาพฤกษศาสตร์ แต่ใช้การสังเกตง่าย ๆว่า พืชล้มลุกต้นเรี่ยดินมีผลกลมคล้ายมะขามป้อมลูกจิ๋ว ๆ อยู่ใต้ใบ และทั้งต้นมีรสขมเย็นจัด ก็เหมาเป็นพืชกลุ่มเดียวกัน ที่มีสรรพคุณครอบคลุมการรักษาอาการโรคได้หลายอย่าง ได้แก่ ช่วยลดไข้ทุกชนิด ทั้งไข้หวัด ไข้ทับระดู ไข้จับสั่น ขับระดูขาว แก้น้ำดีพิการ แก้ดีซ่าน แก้ขัดเบา แก้ไอ แก้กามโรค แก้ปวดฝี ขับปัสสาวะ แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้ท้องเสีย แก้ฟกช้ำบวม แก้นิ่ว โรคตับ เบาหวาน แก้บวม แก้ปัสสาวะขัด บำรุงธาตุ ยิ่งกว่านั้น หมอพื้นบ้านไทยและหมออายุรเวทอินเดียยังเจาะจงใช้ลูกใต้ใบรักษาตับ ขับน้ำดี โดยต้มกินเป็นยาแก้ดีซ่าน แก้ตับอักเสบตัวเหลือง ตาเหลือง ได้ผลดียิ่ง
จากภูมิปัญญาสมุนไพรไทยดังกล่าว นักวิจัยทางเภสัชวิทยาในปัจจุบันจสนใจศึกษากลไกการออกฤทธิ์รักษาตับของสมุนไพรลูกใต้ใบ โดยเฉพาะที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Phyllanthus amarus Schumacher & Thonn. เป็นชนิดที่มีลูกกลมเกลี้ยงอยู่ใต้ใบ และมีกลีบเลี้ยง 5 แฉก ซึ่งมีสารออกฤทธิ์ฟิลแลนทิน(Phyllanthin) รักษาตับได้ผลดีกว่าลูกใต้ใบตัวอื่น ๆ ในสกุลเดียวกันที่มีอยู่ทั้งหมดถึง 5 ชนิด ในที่นี้ขออ้างอิงงานวิจัยชิ้นหนึ่ง คือ “การศึกษาฤทธิ์และกลไกการออกฤทธิ์ของน้ำต้มลูกใต้ใบในการป้องกันความเป็นพิษต่อตับของหนูขาวที่ได้รับพาราเซตามอล” การที่นักวิจัยใช้ยาพาราเซตามอลเป็นตัวก่อพิษในตับ เพราะเป็นยาแก้ปวดแก้ไข้ที่ประชาชนใช้กันมาก และมีพิษต่อตับชัดเจนหากใช้เกินขนาดหรือใช้ต่อเนื่อง เป็นเวลานาน งานวิจัยนี้มีผลสรุปสำคัญ ดังนี้
การให้น้ำต้มลูกใต้ใบขนาด 1,600-3,200 มก./น้ำหนักตัว 1 กก.อย่างต่อเนื่อง 7 วันก่อนได้รับพิษจากยาพาราเซตามอล 1 ครั้ง ขนาดสูง 3,000 มก./น้ำหนักตัว 1 กก.และยังให้อย่างต่อเนื่องหลังได้รับพาราเซตามอลแล้วอีก 2 วัน พบว่าพยาธิสภาพของตับหนูขาวยังเป็นปกติเมื่อเทียบกลุ่มควบคุมซึ่งเนื้อเยื่อตับถูกทำลายอย่างรุนแรงจากพิษของยาพาราเซตามอล ที่ให้เกินขนาดมาก เพราะตามปกติการให้ยาพาราเซตามอลในคนผู้ใหญ่ ขนาดไม่เกิน 15 มก.ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. ต่อครั้ง หรือไม่เกิน 4,000 มก. (8 เม็ด) ต่อคนใน 24 ชั่วโมงและไม่ควรใช้ยาติดต่อกันเกิน 10 วัน เพราะการใช้พาราเซตามอลเกินขนาด อาจทำให้เซลล์ตับถูกทำลาย ทำให้ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเหลืองเข้ม อ่อนเพลีย อาจตับวายและเสียชีวิตได้ หรือพิษยาที่สะสมอาจทำให้เนื่อเยื่อตับเสียหายกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง จนถึงขั้นป่วยเป็นมะเร็งได้
สำหรับน้ำต้มลูกใต้ใบที่ใช้ในคนให้ได้ผลในการล้างพิษ เพื่อป้องกันและรักษาตับอักเสบและมะเร็งตับ ผู้ใหญ่ควรใช้ขนาด 100 กรัม/ครั้ง วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ต่อเนื่อง 5 -7 วัน หยุด 3 วัน น้ำต้มลูกใต้ใบมีความเป็นพิษน้อยมาก แต่ผู้หญิงมีครรภ์ห้ามใช้เพราะลูกใต้ใบมีฤทธิ์ขับประจำเดือน อย่างไรก็ตามลูกใต้ใบมีรสขมฤทธิ์เย็นจัด ไม่ควรกินต่อเนื่องนานจะทำให้ร่างกายเสียสมดุล
ลูกใต้ใบเป็นพืชล้มลุกที่แพร่พันธุ์ง่ายคล้ายวัชพืช แต่มีคุณค่าทางยาสูงมาก ควรมีการศึกษาพัฒนาต่อไปให้เป็นยามาตรฐานสำหรับป้องกันโรคตับอักเสบและมะเร็งตับที่กำลังเป็นภัยร้ายแรงกับสุขภาพของคนไทยในปัจจุบัน.