กว่า 30 ปีแล้วที่โรคร้ายแรง “เอดส์“ แพร่ระบาดเข้ามาสู่ประเทศไทย และทั่วโลก โดยคาดว่าคร่าชีวิตพลโลกไปหลายล้านคนแล้ว และที่ยังป่วยหรือติดเชื้อใหม่ๆ ก็ยังไม่มีทีท่าจะลดลง แม้รัฐบาลชุดก่อนหน้ามาถึงปัจจุบันจะตัดทอนงบประมาณด้านนี้ลง อาจถือว่าเป็นโรคที่คนทั่วไปรู้จักดี และควรจะป้องกันตนเองก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถจะทำให้สงบหรือควบคุมไม่ให้แพร่ระบาดได้เลย แต่ละปีหน่วยงานสาธารณสุขจึงรณรงค์ปีละครั้ง ในห้วง “วันเอดส์โลก” คือวันที่ 1 ธันวาคมเท่านั้น พอพ้นจากช่วงนี้ไป ทุกอย่างก็กลับคืนสู่ภาวะเสี่ยงตามปกติ
การจัดงานวันเอดส์โลก วันที่ 1 ธันวาคมของทุกปี องค์การอนามัยโลกกำหนดให้เป็นวันเอดส์โลก (World AIDS Day) โดยปีนี้มีหัวข้อการรณรงค์วันเอดส์โลกว่า Getting to Zero “ไม่ติด ไม่ตาย ไม่ตีตรา : ร่วมยุติปัญหา เอดส์และเพศสัมพันธ์” และมุ่งเป้าหมายภายในปี 2559 จะไม่มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ ไม่มีการเสียชีวิตจากเอดส์ และไม่มีการเลือกปฏิบัติกับผู้ป่วย ผู้ติดเชื้อเอชไอวี โดยเรียกร้องให้ทุกประเทศรณรงค์เพื่อนำไปสู่เป้าหมายดังกล่าวข้างต้น โดยพร้อมเพรียงกันนั้น จะได้ผลและทำให้ตื่นตัวกันเพียงไรยังคาดการณ์ไม่ได้ ดูข้อมูลสถานการณ์โรคเอดส์ในประเทศปี 2557 คาดว่ามีผู้ติดเชื้อเอชไอวี และผู้ป่วยเอดส์สะสมทั่วประเทศประมาณ 1,175,084 เพิ่มจากช่วง 10 ปีก่อน ประมาณ 120,000 คน มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 8,535 คน เฉลี่ยติดเพิ่มชั่วโมงละ 1 คน เสียชีวิต 24,573 คน เฉลี่ย 3 คนต่อชั่วโมง ซึ่งกว่าร้อยละ 80 ติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน และรายใหม่กว่าร้อยละ 62 อยู่ในกลุ่มชายรักชาย พนักงานขายบริการทางเพศ ผู้ใช้ยาเสพติดชนิดฉีด ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มนี้ ส่วนหนึ่งมีอายุในช่วงเยาวชน ส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มแรงงานข้ามชาติ/ชาติพันธุ์
สำหรับจังหวัดเชียงใหม่ ข้อมูลจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพบมีจำนวนผู้ป่วยเอดส์มากเป็นอันดับ 3 รองจากกรุงเทพมหานครกับจังหวัดเชียงราย และมีผู้ติดเชื้อ HIV ที่รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสกว่า 10,000 คน ผู้ที่ติดเชื้อ HIV แต่ยังไม่ทราบผลเลือดของตนเอง ยังเป็นปัญหาหลักของการแพร่ระบาดของจังหวัดเชียงใหม่ ดังนั้นวันเอดส์โลก 1 ธันวาคมปีนี้ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดจึงร่วมกับ อบจ.เชียงใหม่ เทศบาลนครเชียงใหม่ และภาคีเครือข่ายด้านเอดส์ ทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม จัดกิจกรรมรณรงค์เนื่องในวันเอดส์โลกตามห้างสรรพสินค้า เพื่อหวังจะอาศัยผู้ไปเที่ยวห้างได้หันมาสนใจ รวมทั้งการได้รับสนับสนุนจากภาคเอกชน จึงน่าเป็นห่วงว่า หากรัฐบาลยังถือว่าปัญหาโรคเอดส์เป็นเรื่องที่เข้าใจป้องกันเอาเอง และไม่ส่งเสริมรณรงค์อย่างจริงจังแล้ว จำนวนผู้คิดเชื้อรายใหม่ก็จะกลับมาเพิ่มขึ้นได้อีก ในที่สุดตัวเลขเหล่านี้จะไปเพิ่มงบประมาณด้านการรักษาเยียวยาต่อไป.
ที่มา : Thainews70.com 1ธค.2557