นพ.ธวัชชัย กมลธรรม อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า ขณะนี้กรมฯ กำลังดำเนินการวิจัยตำรับยาอายุวัฒนะจำนวน 7 ตำรับ เช่น ตำรับอาทิ “กุมกาขาว บอระเพ็ด กระเบียน มะขามป้อม” และตำรับ “กระเทียม ขิงแดง ชะคราม ชะพลู” เป็นต้น ซึ่งคัดเลือกมาจากฐานข้อมูลที่มีอยู่ เพื่อดูว่าตำรับใดดีที่สุด โดยการวิจัยครั้งนี้ได้ลงทุนไปแล้ว 5 ล้านบาท โดยมอบหมายให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป้นหน่วยงานในการดำเนินการวิจัย โดยให้หาตัวยาสำคัญ 2 ชนิด คือ 1. ตัวยาอายุวัฒนะ คือ กินแล้วทำให้ DNA มีการยาวออกเพื่อยืดอายุ และ 2. ยาที่มีฤทธิ์สร้างภูมิคุ้มกัน ทำให้เม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าภายใน 1 ปีน่าจะได้คำตอบ
“หลังจากหาสารสกัดออกมาได้แล้วจะนำไปให้หนูทดลองกิน เพื่อดู DNA ของหนูว่ายาวขึ้นหรือไม่ เพราะโดยปกติแล้วเวลาคนอายุมากขึ้นเซลล์จะมีการแบ่งตัวไปเรื่อย ๆ ส่งผลให้ DNA จะสั้นลง โดยเอนไซม์ที่จะทำให้ DNA สั้นก็คือ เทโลเมอเรส เอนไซม์ ดังนั้น สมุนไพรตำรับอายุวัฒนะใดที่ทำให้ DNA ยาวออก แสดงว่าสารดังกล่าวจะช่วยฟื้นฟูและชะลอวัยได้” นพ.ธวัชชัย กล่าวและว่า สมุนไพรที่ผสมในแต่ละตำรับ หากแยกเป็นตัว ๆ จะทราบกันดีอยู่แล้วว่าตัวใดแก้โรคอะไร แต่เมื่อมีใครที่นำมารวมเป็นตำรับไว้ด้วยกันนอกจากไทย ดังนั้น ยาตำรับเหล่านี้หากวิจัยต่อยอดก็จะต้องให้ผลที่ดีกว่า ซึ่งหากวิจัยแล้วได้ผลตามที่คาดการณ์เราก็จะทำการจดสิทธิบัตรทันที
นพ.ธวัชชัย กล่าวว่า เบื้องต้นการทำยาอายุวัฒนะในครั้งนี้จะทำเป็นแคปซูล เนื่องจากในสมุนไพรแต่ละตัวจะมีน้ำระเหย ซึ่งต้องมีการนำหลายกระบวนการมาใช้ในการสกัด ทั้งการต้ม อบเป็นต้น ซึ่งแต่ละขั้นตอนต้องทำเป็นกระบวนการ ดังนั้น จึงไม่แปลกที่เราจะรู้สรรพคุณของยา แต่สิ่งที่สำคัญคือต้องหาวิธีทำให้ได้ยาที่มีคุณภาพที่สุด ภายใต้วิธีการผลิตก่อนมาทำวิจัย เพื่อมาพิษและหาสรรพคุณที่ดี
ที่มา : ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 ก.ค.2558