เผยสมุนไพรไทยใช้ประโยชน์มหาศาล ช่วยต้านมะเร็ง ตั้งแต่หญ้าปักกิ่งที่ใช้กันมานาน จนถึงเมล็ดมะขามที่วิจัยพบ “โพลีแซ็กคาไรด์” มีฤทธิ์เสริมประสิทธิภาพระบบภูมิคุ้มกัน ต้านมะเร็ง เบาหวาน แนะหวนสู่ภูมิปัญญาไทยใช้เมล็ดมะขาวคั่วแทนกาแฟ
ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2555 ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร แถลงข่าวในงานมหกรรมสุมนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 9 ว่า สมุนไพรเกี่ยวกับมะเร็งเริ่มต้นที่ชาวบ้าน สมุนไพรที่ใช้มายาวนาน ปลูกง่าย ใช้ง่าย คือ หญ้าปักกิ่ง มีการเผยแพร่ตั้งแต่ปี 2517 มีประโยชน์ช่วยยืดอายุผู้ป่วยมะเร็งที่เข้าไม่ถึงการรักษา เพราะแต่ก่อนไม่มีโครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ผลการวิจัยพบว่า หญ้าปักกิ่งสามารถทำลายเซลล์มะเร็งเต้านมและเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ ทำให้ภูมิคุ้มกันดีขึ้น อีกทั้งไปยับยั้งฤทธิ์ไนเตรทออกไซด์ ซึ่งเป็นกลไกการอักเสบนำไปสู่โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงโรคมะเร็ง
ดร.สุภาภรณ์กล่าวว่า หญ้าปักกิ่งยังถูกนำมาใช้รักษาภูมิแพ้ ช็อกโกแลตซีสต์ สะเก็ดเงิน ริดสีดวงทวาร หญ้าปักกิ่งปลูกง่าย ใช้ง่าย ประชาชนสามารถนำมาทำเป็นซุปได้ ใส่ไข่เจียว ทำน้ำหญ้าปักกิ่ง หรือนำมากินกับน้ำพริกก็ได้
ด้าน รศ.ดร.พร้อมจิต ศรลัมพ์ สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงกาแฟเมล็ดมะขาม ว่า ไม่ใช่กาแฟของคนโบราณเท่านั้น แต่คนยุคนี้ก็รู้จัก สมัยก่อนการปลูกกาแฟยังไม่แพร่หลาย ชาวอีสานจึงนิยมคั่วเมล็ดมะขามและแกะเนื้อกินเล่น ตำรายาไทยระบุว่าเป็นยาถ่ายพยาธิไส้เดือน แก้ท้องเสีย แก้คลื่นไส้ ต่อมามีผู้สังเกตว่ารสคล้ายกาแฟ จึงมีกาแฟเมล็ดมะขามคั่วขาย ทั้งโอเลี้ยง โอยัวะ บางครั้งผสมกับกาแฟจริงเพื่อลดต้นทุน เรียกว่ากาแฟโบราณ ถ้าจะมองว่าเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคก็ได้
รศ.ดร.พร้อมจิตกล่าวว่า ปัจจุบันเมล็ดมะขามหายาก เริ่มขาดตลาด และราคาแพง มีการส่งออกไปต่างประเทศ ที่ผ่านมามีงานวิจัยเกี่ยวกับเมล็ดมะขามกว่า 300 งานวิจัย จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในปี 2550 นักวิจัยใช้พาราเซตามอลซึ่งเป็นพิษต่อตับทดลองป้อนหนู แล้วป้อนสารสกัดน้ำเมล็ดมะขาม พบว่าสามารถต้านความเป็นพิษของพาราเซตามอลต่อตับหนูทดลองได้ ทั้งยังกระตุ้นการสร้างเซลล์ตับขึ้นทดแทนส่วนที่เสียไป และมีฤทธิ์ปกป้องไตของหนูทดลองจากสารเคมีที่ก่อมะเร็งไตด้วย
“ในปี 2012 มีงานวิจัยเมล็ดมะขามออกมามากมาย พบว่าเนื้อเมล็ดมะขามมีไขมันและโพลีแซ็กคาไรด์ หรือสารประกอบที่เกิดจากการต่อกันของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวจนเป็นสายยาว มีฤทธิ์เสริมประสิทธิภาพระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย หมายความว่าหากระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือน้อยกว่าปกติ โพลีแซ็กคาไรด์จากเมล็ดมะขามจะกระตุ้นให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น สามารถกำจัดเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ที่ผ่านเข้าสู่ร่างกาย โดยเฉพาะเชื้อไวรัส นอกจากนี้ยังสามารถลดน้ำตาลในเลือด ลดคอเรสเตอรอล รวมทั้งสามารถยับยั้งการเกิดเซลล์เนื้องอกมะเร็งและเบาหวานได้ด้วย” รศ.ดร.พร้อมจิตกล่าว
รศ.ดร.พร้อมจิตกล่าวว่า เปลือกมะขามมีแทนนินสูง ในเชิงวิทยาศาสตร์จะกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและลดอนุมูลอิสระที่จะไปจัดการกับเม็ดเลือดขาว ถ้ามีอนุมูลอิสระมากร่างกายจะอ่อนแอลง เนื้อมะขามและเมล็ดจึงมีประโยชน์ 100 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งผลการทดลองไม่พบว่ามีความเป็นพิษแต่อย่างใด ดังนั้นคิดว่าควรจะมีการรื้อฟื้นภูมิปัญญาไทยหันมาดื่มกาแฟเมล็ดมะขาม วิธีการคือคั่วเมล็ดมะขามในกระทะด้วยไฟอ่อนๆ จนหอมและสุก จากนั้นแกะเอาเปลือกออกแล้วโขลกให้เม็ดแตกออก ทั้งนี้ ควรชงเมล็ดมะขามในน้ำเดือด 100 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 10 นาที
“ปัจจุบันผลการวิจัยเมล็ดมะขามส่วนใหญ่ทำในต่างประเทศ และทำในหนูทดลอง ซึ่งเป็นการทดลองเบื้องต้น แต่สิ่งสำคัญคือ กาแฟเมล็ดมะขามก็มีความอร่อย ไม่มีกาเฟอีน แถมมีประโยชน์ เพราะเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ แม้วันนี้การทดลองในคนยังไม่ดำเนินการว่าทำให้ภูมิต้านทานดีขึ้นหรือไม่ แต่จากการวิจัยต่างๆ สามารถรับประทานเป็นอาหารชนิดหนึ่ง เพราะไม่มีอันตรายอะไร ประเทศไทยยังมีพืชผักรสเปรี้ยว รสขม รสฝาด อีกมากนอกจากเมล็ดมะขามที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านมะเร็ง และเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันต่อร่างกาย” รศ.ดร.พร้อมจิตกล่าว.
ที่มา : ไทยโพสต์ออนไลน์