เบื้องหลังรสชาติแคนตาลูปอร่อยลิ้น มีเงามรณะแฝงอยู่อย่างสนิทเนียน
“ผมอยากเตือนคนกินว่า ยาที่ฉีดในไร่แคนตาลูปแรงมาก มันสะสมไว้ในลูกแคนตาลูปเยอะแยะ กินเข้าไปก็สะสมไว้เรื่อย มันอันตราย” ลุงลองบอก
ลุงลอง หรือนายลิขิต เคลื่อนดอน อายุ 57 ปี นั่งอยู่บนแคร่ ในบ้านชั้นเดียวเลขที่ 7 หมู่ที่ 4 ตำบลแซร์ออ อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว กล่าวด้วยเสียงเรียบๆถึงอันตรายจากผลแคนตาลูปที่ตนเองเคยปลูก และเป็นผลทำให้ต้องเสียปอดไปเกือบทั้ง 2 ข้าง จนได้รับฉายาว่า ลุงลองปอดเหล็ก เพราะแม้จะเหลือปอดอยู่เล็กน้อยเพียงข้างเดียว แต่ประคองชีวิตมาได้กว่า 10 ปี
“แรกๆผมก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นอะไร อยู่ๆก็ผอมซูบลง หมดเรี่ยวหมดแรงทำงานต่อไปไม่ได้ ผมจึงเลิกทำไร่แคนตาลูป”
ครั้นเลิกทำไร่แคนตาลูป อาการผอมซูบและหมดเรี่ยวแรงก็ยังไม่หาย ยังไอโขลกๆ ไอหนักเข้าก็ออกมาเป็นเลือด สร้างความตื่นตระหนกให้กับตนเอง และคนในครอบครัวเป็นอย่างมาก จึงไปหาหมอที่โรงพยาบาล
“หมอตรวจแล้วบอกว่า อาการของลุงเหมือนคนเป็นวัณโรค แล้วให้ยามากิน เมื่อกลับไปตรวจจริงๆ ก็ปรากฏว่าไม่มีเชื้อวัณโรค หมอก็บอกไม่ได้ว่าผมเป็นอะไรกันแน่”
ลุงลองหยุดพูด พลางมองไปยังดงกล้วยหลังบ้าน เสียงนกเริงร้องเสนาะหู ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดเบาๆ ก่อนเล่าต่อว่า เพื่อพิสูจน์ให้รู้ว่าเป็นอะไรแน่ จึงไปหาหมอที่คลินิก แล้วเล่าอาการ และอาชีพให้กับหมอฟัง หมอเลยเอกซเรย์ ทำให้รู้ว่าปอดหายไปเกือบหมด
วินาทีที่รู้ความจริง “ผมทำใจได้ คนเราอย่างไรก็ต้องตาย จะเร็วหรือช้าก็ต้องตายเหมือนกัน แต่ผมอยากรู้ว่าเป็นอะไรแน่ หมอที่โรงพยาบาลเองก็บอกไม่ได้ เมื่อไปเอกซเรย์ที่คลินิกหมอที่คลินิกเอาแผ่นเอกซเรย์ให้ผมดูว่าปอดหายไป ผมรู้ว่ามาจากการทำไร่แคนตาลูปแน่ๆ สาเหตุที่คิดอย่างนั้นเพราะว่า เพื่อนๆที่ทำแคนตาลูปรุ่นเดียวกับผมตายไปเกือบหมดแล้ว แถวๆบ้านผมนี่ตายมาแล้วสามรุ่น”
ลุงยอมรับว่า “ทำแคนตาลูปใช้เนื้อที่น้อย กำไรมาก ผมเห็นเขารวยกันก็ทำตามบ้าง แต่ผลที่ตามมามันไม่คุ้ม ทำไปไม่กี่ปีปอดหายไป ปอดของเราหาซื้อใหม่ไม่ได้ ถ้าไม่หยุดผมตายไปแล้ว”
สิ้นเสียง ลุงลองยกยาแก้ไอน้ำสีดำขึ้นจิบ เพราะต้องรักษาอาการไออยู่ตลอดเวลา คราวใดที่ไอจะทรมานมาก บางทีก็ไอออกมาเป็นเลือด การเลี่ยงอาการไอของลุง นอกจากจิบยาน้ำ ยังต้องเลี่ยงความเย็น อย่างจะเข้าห้องน้ำก็ต้องระวังไม่ให้ถูกความเย็นมาก เวลานอนต้องให้ร่างกายอบอุ่น ฤดูหนาวมาเยือนอย่างเดือนธันวาคมนี้ ลุงบอกว่านอนไม่ค่อยหลับเลย เพราะอากาศเย็น และยังต้องเลี่ยงควันไฟและควันบุหรี่
“ตั้งแต่ผมเป็นมา ผมเลิกเหล้า เลิกบุหรี่ และได้กลิ่นไม่ได้ พอได้กลิ่นจะหายใจไม่อิ่ม ต้องหนี เราเข้าใจคนสูบ เพราะเมื่อก่อนเราสูบ แต่เราต้องอยู่ในสังคม เราต้องรู้ตัวของเราเองว่าจะต้องทำอย่างไร”
เจ้าของปอดที่เหลืออยู่เล็กน้อยบอกว่า รู้ว่าปอดของตนเองหายไปเกือบหมด ตั้งแต่ พ.ศ.2545 นานกว่า 10 ปีแล้ว บอกกับตนเองว่าอย่างไรก็ต้องตายแน่ แต่ด้วยกำลังใจจากคนรอบข้าง การมองโลกในแง่ดี และเข้าใจความเป็นไปของชีวิต ทำให้ลุงลองประคองตัวเองอยู่ได้
“ผมไม่คิดอะไรมาก ตายเมื่อไหร่ก็ตาย”
ลุงลองเอ่ย ใบหน้ายังมีรอยยิ้ม ผิวพรรณยังกล่าวได้ว่ายังสดใส ไม่เหมือนคนเป็นโรคร้ายใดๆ ถ้าไม่ทราบมาก่อนว่าลุงเป็นอะไร ก็จะมองว่า ลุงเป็นคนสุขภาพดีเหมือนคนทั่วไป
ลุงย้อนอดีตที่เคยตั้งอยู่ในความประมาทว่า “ผมรู้ว่ายานั้นแรง แต่มันไม่มีกลิ่น ผมก็คิดว่าไม่เป็นไร ขณะฉีดยา ปาก จมูก ผมไม่ได้ปิด เวลาผสมยาน้ำในถัง บางครั้งก็ใช้มือคนน้ำยาโดยไม่รู้สึกอะไร”
นอกจากนั้นยังไม่พอ เมื่อฉีดยาในไร่แล้ว ด้วยความเป็นคนอยู่เฉยไม่ได้ แม้ตัวจะเปียกยา และน้ำยาที่ฉีดไปยังไม่แห้ง ก็ยังทำงานอยู่ในไร่ โดยไม่คิดเลยว่า ยาเหล่านั้นจะแทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย หรือหายใจเข้าไปสั่งสมไว้ในปอดจนกระทั่งปอดต้องร้องเพลงลาจากไป
การปลูกแคนตาลูปนั้น ต้องใช้ยาแรงและฉีดบ่อยมาก แคนตาลูปเป็นพืชที่อ่อนไหวต่อสภาพดินฟ้าอากาศ และแมลงเป็นอย่างมาก “แค่เห็นจุดดำเล็กๆที่ใบในตอนเช้า คุณเชื่อไหมตอนเย็นมันกระจายไปทั้งไร่ เราต้องคอยเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด เมื่อพบก็ต้องฉีดยา”
นอกจากโรคพืชแล้ว ยังมีเรื่องแมลงอีก อย่างแมลงกลางคืนชนิดหนึ่ง ลุงลองเรียกว่า แมลงหัวจรวด มันบินมาเวลากลางคืน ลงมาวางไข่เพียงประมาณ 3 ชั่วโมง มันก็ออกเป็นตัวหนอนกัดกินแคนตาลูปได้แล้ว
การดูแลแคนตาลูป ลุงบอกว่าต้นหนึ่งเอาไว้ได้เพียง 1 ผลเท่านั้น ในหนึ่งต้นนั้น เอาใบไว้ได้เพียง 25 ใบ ส่วนใบอื่นๆ และแขนงที่แตกออกมา ต้องกำจัดให้หมด ถ้าไม่กำจัด ทุกแขนงจะเกิดผล เมื่อผลออกมากก็จะทำให้แต่ละผลมีขนาดเล็ก ขายไม่ได้ราคา
“บางครั้งก่อนจะเก็บ ฝนเกิดตกลงมาก่อน อย่างนี้ไม่ต้องคิดอะไรเลย ถอนต้นทิ้ง หรือไม่ก็ฟันต้นทิ้งได้เลย เพราะผลมันจะแตกหมด ขายไม่ได้”
เพราะต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ทำให้เจ้าของไร่แต่ละคนทำไร่แคนตาลูปได้เต็มที่แค่สองงานเท่านั้น ถ้ามากกว่านั้นจะดูแลไม่ทั่วถึง ลุงเล่าว่า ก่อนที่จะปลูกนั้น เห็นเพื่อนบ้านปลูกแล้วรวย จึงรื้อดงกล้วยใช้พื้นที่ปลูกกับเขาบ้าง โดยลงทุนไร่ละ 5-60,000 บาท ผลผลิตถ้าได้ดี จะขายได้ประมาณไร่ละ 2 แสนบาท ลุงทำมาประมาณ 5-6 ปี
แต่ผลที่ได้คือหนี้ ธ.ก.ส.กว่า 30,000 บาท และปอดหายไปเกือบทั้งสองข้าง
เมื่อถามถึงข้อคิดจากการทำไร่แคนตาลูป เพื่อบอกยังชาวไร่ด้วยกัน ลุงบอกว่าไม่ห่วงคนทำไร่ แต่ห่วงคนกิน แล้วยังบอกว่า แคนตาลูปกินอาหารมาก และรวดเร็ว บางคนฉีดยาไม่เว้นแต่ละวัน แม้กระทั่งวันเก็บผลผลิตขายก็ยังฉีด
และยังบอกว่า อาชีพคนทำแคนตาลูปในย่านเดียวกัน ตายกันไปมากแล้ว “บางหมู่บ้าน ผู้หญิงที่เอาผัวเป็นคนทำไร่แคนตาลูป เขาไม่เอาแล้ว ผู้หญิงคนเดียวบางคนผัวตายไปตั้ง 5 คนแล้ว ถึงกับออกปากว่า ไม่เอาผัวคนทำไร่แคนตาลูปแล้ว”
ปัจจุบันภรรยาและลูกให้ลุงอยู่กับบ้าน “ผมทำงานเล็กๆน้อยๆไปวันๆหนึ่ง อย่างซ่อมรถจักรยานให้หลาน ซ่อมมอเตอร์ไซค์ให้ลูก ทำงานเบาๆ ผมทำได้ บางทีก็ออกไปข้างนอกเหมือนกัน แต่แฟนผมบอกว่าไม่ให้ออกไป เพราะกลัวจะไปเป็นอะไร แต่ผมไม่กลัวหรอก จะตายอยู่ที่ไหนมันก็ตาย”
เรื่องการทำงาน ลุงพูดติดตลกว่า เป็นคนทำงานด้วยปาก เพราะเมื่อต้องการจะทำอะไร ก็ให้ภรรยาเป็นผู้ลงแรง ส่วนตัวเองเป็นผู้สั่งการ เฝ้าสังเกต และคอยกำกับอยู่อย่างใกล้ชิด ส่วนลูกๆแยกครอบครัวกันไปหมดแล้ว ต่างมีการงานทำ และแวะเวียนมาเยี่ยมให้กำลังใจอยู่มิได้ขาด
อาจด้วยแรงใจจากคนในครอบครัว การมองโลกในแง่ดี และเข้าใจสภาพความเป็นไปของชีวิต จึงทำให้ลุงมีอายุยืนสืบมา
“หมอที่รักษาผม บางคนก็ตายไปแล้ว” ลุงลองทิ้งท้าย
แคนตาลูปเป็นผลไม้เลิศรส ชาวไทยนำเข้ามาปลูกในหลายพื้นที่ มีมากในจังหวัดสระแก้ว ใครที่เคยเดินทางไปตลาดโรงเกลือ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว จะเห็นกองขายอยู่ข้างทาง รายไปเป็นจุดๆ
กลางอากาศเย็นสบาย ในวันที่ “สกู๊ปหน้า 1 ไทยรัฐ” กลับจากบ้านลุงลอง ขณะรถแล่นเลยตัวเมืองอรัญประเทศมาไม่นาน เราก็พบร้านขายแคนตาลูปริมถนน คนขายบอกราคาว่าเริ่มจากกิโลกรัมละ 25 บาท สูงขึ้นไป 3 กิโลกรัม 100 บาท ราคาสูงสุดอยู่ที่กิโลกรัมละ 90 บาท ต่างชี้ชวนให้เลือกซื้อหา และหยิบยื่นแคนตาลูปที่ผ่าไว้ให้ชิม
ด้วยความเกรงใจ แม้จะนึกถึงลุงลอง แต่ก็ต้องรับมาชิม 1 ชิ้น รสของมันหวานจับใจและจับลิ้นดีเหลือเกิน.
ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์