คนทั่วไปมักคุ้นเคยการแก้ปัญหาแบบ “สำเร็จรูป” ต้องการอะไรสักอย่างเป็นคำตอบได้ทันที หรือใช้วิธีเดียว ทำอย่างเดียว หรือทำอะไรง่าย ๆ ครั้งเดียวแล้วหวังว่าปัญหาจะหมดไปอย่างง่ายดาย
นึกดู เช่น ลูกหลาน เด็กนักเรียนสอบได้คะแนนน้อย ก็คิดว่าวิธีเดียวสำเร็จรูปคือ ให้อ่านหนังสือเยอะ ๆ แล้วผลการเรียนน่าจะดีขึ้น ซึ่งเด็กอาจมีสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้เด็กไม่มีสมาธิในการเรียน เช่น พ่อแม่ยากจนต้องช่วยงานบ้าน เด็กมีความสนใจด้านศิลปะมากกว่าคณิตศาสตร์ ฯลฯ เป็นต้น
หลายเดือนแล้วคนทั่วโลกและคนไทยต้องเผชิญกับไวรัสสายพันธุ์ใหม่ โควิด-19 และกำลังหาวิธีเอาชนะ คนจำนวนหนึ่งต่างคาดหวังว่า สมุนไพร คือ คำตอบสำเร็จรูป ซึ่งถ้าได้ไตร่ตรองให้ดีก็น่าจะตอบด้วยตัวเองว่าจะเป็นไปได้จริงหรือ ? เพราะนี่คือ ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ แม้แต่ยาแผนปัจจุบันก็ยังต้องนำยาที่มีอยู่หลายชนิดที่มีอยู่มาใช้ทดแทนโดยใช้ผสมหลายชนิดเพื่อจะสยบไวรัสตัวนี้ พูดแบบนี้ไม่ได้หมายถึง สมุนไพรไม่มีศักยภาพ แต่ยังไม่มีการศึกษาเกี่ยวกับไวรัสชนิดนี้อย่างตรง ๆ และรอบด้าน
บทเรียนและการสรุปวิเคราะห์ในเวลานี้ เพื่อรับมือ โควิด-19 ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่และซับซ้อน จึงจำเป็นต้องอาศัยวิธีการที่มากกว่าหนึ่งวิธี การรักษาพยาบาลย่อมเป็นหนทางที่จำเป็นที่สุด แต่ก็พบว่าถ้าปริมาณจำนวนผู้ป่วยที่มากกว่าระบบสาธารณสุขที่รองรับได้แล้ว ก็จะกลายเป็น โศกนาฏกรรม ดังข่าวที่เราพบเห็นในประเทศอิตาลี บทเรียนของหลายประเทศ เช่น จีน เกาหลี สิงคโปร์ และแม้แต่มีคนวิเคราะห์ว่าทำไมอินเดียจึงมีผู้ติดเชื้อไม่มากนัก พอจะประมวลได้ดังนี้
1.ความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม มีสติไม่ตกอยู่ในอาการตื่นตูม แต่ตระหนักในความรับผิดชอบต่อตนเอง ดังที่หน่วยงานรัฐแนะนำต่าง ๆ เช่น ไม่เดินทางไปที่คนแออัด สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างระหว่างกัน ล้างมือด้วยสบู่หรือเจลที่มีแอลกอฮอล์ มากกว่า 70 % ฯลฯ บทเรียนข้อแรกที่สำคัญสุด ๆ ในภาวะของโรคระบาด และต้องอดทน ร่วมมือ และเห็นใจกันและกัน
2.บทเรียนนี้พบว่า ชุมชนใด วิถีชีวิตของคนในประเทศใด และผู้ที่มีพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพ หรือมีร่างกายแข็งแรงทั้งกายใจ จะเป็นเกราะป้องกันได้ดี เช่น มีการออกกำลังกายเป็นประจำ ไม่มีพฤติกรรมดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ซึ่งเสี่ยงให้โรคลุกลามรุนแรงง่าย บทเรียนของชาวจีนและอินเดีย พบว่า ผู้ที่ฝึกฝนออกกำลังกายตามวิถีวัฒนธรรมตนเอง เช่น รำไทเก็ก เล่นโยคะ ช่วยส่งเสริมให้ร่างกายแข็งแรง และเป็นการฝึกลมหายใจ ช่วยการสร้างสติสมาธิ ช่วยประคับประคองจิตใจในยามวิกฤติ ในสังคมไทยก็มีต้นทุนทางวัฒนธรรมที่ดี คือ การฝึกปฏิบัติธรรม เจริญศีลภาวนา ตั้งสติ รู้จักวางใจไม่ให้วิตกกังวล จนทำให้ร่างกายอ่อนแอ เพราะมีการศึกษากันแล้วว่า ความเครียดทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายตกต่ำทำให้อ่อนแอ พฤติกรรมที่สำคัญและมีผลต่อสุขภาพเราที่หลายคนมองข้าม คือ การนอน เพราะถ้าอดนอนจะทำให้ร่างกายอ่อนแอ ไม่สบายง่าย
3.การกินอาหาร คือ ปัจจัยที่สำคัญมาก มีการศึกษาว่าโอกาสที่คนเป็นมะเร็ง อาจมาจากพันธุกรรมของคนๆนั้น มาจากสิ่งแวดล้อมที่เป็นมลพิษ และมาจากอาหารที่กิน จึงมีการกล่าวว่า “เรากินอะไร ก็จะเป็นแบบนั้น” กินอาหารที่มีสารก่อมะเร็งก็มีโอกาสเป็นมะเร็งสูง กินหวานจัด มันจัด เค็มจัด โรคอีกมากก็ตามมา ในทางตรงข้ามอาหารที่สร้างเสริมสุขภาพ หรืออาหารสมุนไพรตามวัฒนธรรมของแต่ละชนชาติก็มีมากมาย มีการวิเคราะห์ในช่วงโควิด-19 ระบาด พบว่าวัฒนธรรมยิ่งใหญ่เช่น อินเดีย และ จีน ในสถานการณ์โรคระบาดมีบทเรียนแต่ละวัฒนธรรมมีเมนูอาหารการกินที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพ เช่น อินเดีย มีข้อสังเกตว่า อาหารที่กินประจำมีการผสมขมิ้นชัน และเครื่องเทศมากมาย ซึ่งมีสรรพคุณช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านไวรัส ต้านอักเสบ ช่วยบำรุงสุขภาพ เป็นต้น
ในสังคมไทยมีภูมิปัญญาดั้งเดิมมากมายและมีการศึกษาใหม่ ๆที่ ยอมรับว่าพืชผักสมุนไพรช่วยส่งเสริมสุขภาพ ทางกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเพิ่งแถลงข่าวว่า มีสมุนไพร กลุ่มเสริมภูมิคุ้มกัน เช่น แนะนำกินพลูคาวหรือผักคาวตอง กินเห็ดต่างๆ กินให้หลายชนิด ต้องกินสุก กินตรีผลา ซึ่งประกอบด้วยสมอไทย สมอพิเภก มะขามป้อม สำหรับตรีผลานี้มองแบบภูมิปัญญาก็ช่วยแก้ไข้ ช่วยระบาย และเป็นยาบำรุงร่างกายได้ มองด้วยมุมมองสมัยใหม่ก็มีการศึกษาว่า เป็นผลไม้ทีมีวิตามินซีสูง ช่วยแก้และป้องกันหวัด และมีสารต้านอนุมูลอิสระก็ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง นอกจากนี้ สมุนไพรกลุ่มที่มีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง อื่น ๆ เช่น แนะนำกิน ดอกขี้เหล็ก, ยอดมะยม, ใบเหลียง, ยอดสะเดา, มะระขี้นก, ฟักข้าว, ผักเชียงดา, คะน้า, มะรุม, ผักแพว มะขามป้อม, ลูกหม่อน และผักผลไม้หลากสี
และมีสมุนไพรอีกกลุ่มที่มีสารสำคัญในการป้องกันหวัด ไม่ว่าจะหวัดธรรมดาและหวัดใหญ่ ซึ่งถ้าเรามองว่าไข้หวัดโควิดเป็นไวรัสหวัดชนิดหนึ่ง การกินอาหารเหล่านี้ก็ถือว่า ช่วยลดความเสี่ยง ดีกว่าไปกินอาหารฟาสต์ฟู้ด ไขมันสูง กลุ่มสมุนไพร เช่น พลูคาวหรือผักคาวตอง กะเพรา หอมแดง หอมหัวใหญ่ มะรุม ใบหม่อน พืชตระกูลส้ม เช่น ส้ม มะนาว มะกรูด ส้มซ่า แต่แนะนำให้กินพร้อมเปลือก เพราะสรรพคุณดีอยู่ที่เปลือกและน้ำด้วย
ในมุมมองของมูลนิธิสุขภาพไทย แนะนำว่าให้กินพืชสมุนไพรให้หลากหลายให้นึกถึงผักเคียงน้ำพริกมีมากมายหลายสิบชนิด กินหมุนเวียนอย่าให้ซ้ำย่อมเป็นการสร้างเสริมสุขภาพที่ดี และขอแถมตำรับชาชงตำรับอินเดียตำรับหนึ่ง ที่ปัจจุบันพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์และปลูกด้วยเกษตรอินทรีย์ด้วย ประกอบด้วยสมุนไพรที่หาได้ง่าย คือ กะเพราขาว กะเพราะแดง อันนี้หาได้ง่าย ๆ และยี่หร่า ทั้ง 3อย่างนี้ เอามาเท่า ๆกัน แล้วแต่ง สมุนไพรอีก 2 ชนิด คือ ชะเอมเทศ และเปปเปอร์มินต์ เพื่อทั้งแต่งรส กลิ่น และให้สรรรพคุณทางยาด้วย สูตรชานี้ ช่วยปรับธาตุ ช่วยการย่อยอาหาร ขับลม ช่วยให้ ชุ่มคอ ระงับอาการไอเจ็บคอ ที่สำคัญเป็นสูตรชาที่ ภาษาอังกฤษบอกว่า Stress relieving และ Soothing ให้ร่างกายสดชื่นคลายเครียดรับมือโควิด -19
จะกินอาหารสมุนไพรและชาชงที่แนะนำมากเพียงใดก็ต้องไม่ลืม บทเรียนสรุปไว้ 3 ข้อข้างต้น เราจึงผ่านไวรัสโควิด-19ได้จ้า.