วิชาความรู้ในการเป็นหมอของหมอสง่าสืบทอดกันในตระกูล
ที่บ้านของหมอสง่ามีการถ่ายทอดวิธีการนวดและวิธีการทำยาสมุนไพรในชีวิตประจำวัน ปกติใช้ดูแลกันเองในครอบครัวและเครือญาติ เมื่อปู่และพ่อต้องช่วยดูแลรักษาชาวบ้านเจ็บป่วยที่มาหาด้วย จึงเป็นการทำเพื่อไว้ใช้กับคนเจ็บป่วยอื่นๆ ที่มาหา
สมัยเด็ก…หมอสง่าเรียนรู้จากปู่สอนให้ในขณะที่เหยียบนวด หลายครั้งที่ตามพ่อไปเก็บยา และทำยาสมุนไพร
เมื่อหมอสง่ามีลูกชาย เวลาออกไปรักษาคนป่วยในต่างจังหวัดก็จะพาลูกชายไปด้วย ก็คือหมอชาญวุฒิ ซึ่งได้เรียนรู้เรื่องการนวดและวิธีการดูแลรักษาจากพ่อตั้งแต่วัยเด็กเช่นเดียวกัน
ตอนอายุ 14 ปี ปู่เย็นถามหมอสง่าในวันรุ่นว่า
“มึงทนคำครหาได้ไหม ถ้าทนได้ก็ดี ถ้าทนไม่ได้ มึงก็จะได้แค่ที่มึงเรียนนั่นแหละ”
ในตอนนั้นหมอสง่าเป็นวัยรุ่นยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่าหมายถึงอะไร จนกระทั่งวันที่ตัดสินใจรับรักษาคนเจ็บป่วย
ตอนแรกในชุมชนเริ่มมีเสียงติฉินนิทา “หมอสง่าโม้” “หลอกลวง” เมื่อหมอสง่าทำน้ำมนต์รักษาให้ บางคนถุยน้ำลายใส่
ช่วงแรกคนที่เข้ามารับการรักษาเป็นคนต่างถิ่น
ตระกูลของหมอสง่ามีความเชื่อว่า เด็กอายุครบ 14 ปี ถือว่าบรรลุนิติภาวะแล้วเป็นผู้ใหญ่แล้ว เป็นช่วงวัยที่เหมาะสมสำหรับการทำพิธีครอบครูหมอตามประเพณี
ปู่เย็นทำพิธีครอบครูหมอวิชาเหยียบเหล็กแดงให้เมื่อหมอสง่าอายุครบ 14 ปี และเรียนรู้วิชาหมอเพิ่มจากปู่ เช่น ดูแลผู้หญิงคลอดลูก ซางเด็ก งูสวัด เริม ไฟลามทุ่ง ผิดธาตุ เคล็ดขัดยอก
หมอสง่าได้เรียนรู้วิชาจากปู่มากที่สุด เวลามีคนไข้มารับปู่ให้ไปรักษา ระหว่างการเดินทางถือว่าเป็นช่วงซึมซับวิชาวิธีการรักษาและวิธีการคิดหลายอย่างจากปู่
ปู่เสียชีวิตเมื่ออายุ 108 ปี หลังจากนั้นหมอสง่ามาเรียนรู้จากพ่อ
ชีวิตการเป็นหมอของหมอสง่าไม่ได้เริ่มต้นอย่างง่ายๆ ไม่ได้คิดว่าจะเป็นหมออย่างปู่เย็นและพ่อ และไม่คิดจะเป็นหมออาชีพด้วย
และหมอสง่าก็เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนของชีวิต ….
เรื่องราวของหมอสง่าจะเป็นอย่างไรต่อ….ต้องติดตามตอนต่อไป
#มูลนิธิสุขภาพไทย #หมอพื้นบ้าน #หมอสมุนไพร #ภูมิปัญญา
**หมอสง่า เสียชีวิตในวัย 93 ปี ท่านเสียชีวิตเดือนกรกฎาคม 2561