ในโลกย้อนยุค รางจืด (ชื่อวิทยาศาสตร์ Thunbergia laurifolia Lindl.) ไม่ใช่สมุนไพรธรรมดาแต่เป็นว่านโบราณชนิดหนึ่งที่เป็นเหมือนของขลังเครื่องลาง ใช้แก้คุณไสย ยาสั่ง ปัดเป่ามนต์ดำที่ถูกศัตรูกระทำ แต่ก็ยังทิ้งร่องรอยภูมิปัญญาสมุนไพรสรรพคุณถอนพิษอันลือลั่นไว้ในสมัยที่ชาวบ้านหาอยู่หากินกับป่าดงพงไพรที่เป็นซูเปอร์มาร์เก็ตของพวกเขา รางจืดจึงเป็นยาแก้พิษเบื่อเมาของเห็ดพิษ หรือพืชพรรณพิษต่างๆ ที่ชาวบ้านเผลอเก็บมาทำอาหาร หรือคนที่เผลอกินเหราแมงดาทะเลก็ใช้รางจืดแก้พิษได้ผลชงัด
ด้วยเหตุนี้ ยาเขียวแก้ไข้ แก้พิษผิดสำแดงตำรับพื้นบ้านไทยแท้ต้องเข้ารางจืดเป็นเครื่องยาหลัก แต่ที่เป็นเรื่องเล่าตำนานของคอทองแดงรุ่นลายครามก็คือ เรื่องการอมรากรางจืดไว้ดวลเหล้ากับเพื่อนฝูง เรื่องรางจืดมีฤทธิ์ถอนพิษไม่ใช่แค่ราคาคุย หากจำกันได้เมื่อปี 2522 โรงพยาบาลชุมพรเขตอุดมศักดิ์เคยใช้รางจืดที่ชาวบ้านแนะนำเอามาช่วยชีวิตผู้ป่วยหลายรายที่กินยำไข่แมงดาทะเล ซึ่งในทางการแพทย์แผนปัจจุบันไม่มียาใดที่สามารถถอนพิษ เทโทรโดท็อคซิน (tetrodotoxin) ในเหราแมงดาทะเลได้เลย เพราะผู้ถูกพิษส่วนใหญ่มักเสียชีวิตด้วยอาการหายใจไม่ออก สารพิษเทโทรโดท็อคซินนี้ยังพบในปลาปักเป้า และหมึกบลูริงหรือหมึกวงแหวนสีน้ำเงินมฤตยู ที่กำลังเป็นข่าวอยู่บนแผงหมึกปิ้งอันหอมกรุ่น รายงานข่าวบอกชัดเจนว่าใครกินหมึกชนิดนี้เพียงตัวเดียวก็กู่ไม่กลับเพราะพิษเทโทรโดท็อคซินร้ายแรงกว่าพิษงูเห่าถึง 20 เท่า ไม่มียารักษา โดยลืมไปว่าครั้งหนึ่งโรงพยาบาลรัฐเคยรายงานการใช้น้ำรางจืดแก้พิษเทโทรโดท็อคซินในแมงดาทะเลมาแล้ว
เมื่อสังคมเกษตรไทยเข้าสู่ยุคเกษตรเคมี รางจืดก็ยังมีบทบาทล้างพิษสารเคมีกำจัดศัตรูพืช โดยเฉพาะในพื้นที่เกษตรเคมีเข้มข้นอย่างเช่น ในจังหวัดสุพรรณบุรี ชาวนาที่เผลอกินยาฆ่าหญ้าต้องไปหาหมอพระพื้นบ้าน ช่วยล้างท้องให้ เพราะหากไปโรงพยาบาลมีหวังตายสถานเดียว สารพาราควอทหรือสารไกลโฟเซตในยาฆ่าวัชพืชเป็นสารพิษร้ายแรงมากต่อให้ล้างท้อง ให้น้ำเกลือมีอุปกรณ์ช่วยชีวิตฉุกเฉินดีแค่ไหนก็ไม่มีสถิติรอดชีวิตเลย โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช จังหวัดสุพรรณบุรี เคยทำการทดลองวิจัยล้างท้องผู้ป่วยถูกพิษพร้อมกับให้น้ำต้มใบรางจืดเข้มข้นทางหลอดสวนทางจมูก-กระเพาะอาหาร ปรากฏว่ามีสถิติผู้รอดชีวิตเกินร้อยละ 50
มีข้อมูลการวิจัยในมนุษย์ ที่ยืนยันผลการวิจัยทางคลินิกของโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช คือมีการตรวจสารออร์กาโนฟอสเฟสซึ่งเป็นสารเคมีพิษในยาฆ่าแมลงที่ตกค้างในร่างกายเกษตรกรภาคกลางจำนวน 49 คน จากนั้นจึงแบ่งจำนวนครึ่งหนึ่งให้รับประทานยารางจืด ขนาด 8 กรัมต่อวัน และที่เหลือให้ยาหลอกเป็นเวลา 21 วันพบว่า อาสาสมัครที่ได้รับชารางจืดมีปริมาณสารพิษในเลือดลดลงมากในระดับที่ไม่เป็นอันตราย ในขณะที่กลุ่มที่ได้รับยาหลอกปริมาณสารพิษลดลงน้อยมาก
นอกจากนี้ยังมีการทดลองทางเภสัชวิทยาและทางคลินิกอีกหลายครั้ง โดยหลายสถาบันวิจัยที่ยืนยันว่ารางจืดจากส่วน ใบ เถาและรากมีฤทธิ์ล้างพิษสารเคมีกำจัดศัตรูพืช พิษแอลกอฮอล์ในตับ พิษสารตะกั่ว แก้อาการผื่นคัน แผลอักเสบ ปวดแสบปวดร้อนได้ดีเท่ากับสารสเตียรอยด์ นอกจากฤทธิ์ล้างพิษแล้ว ยังมีรายงานการทดลองใช้สารสกัดรางจืดต้านสารก่อกลายพันธุ์ที่เป็นต้นเหตุของการเกิดมะเร็งหลายชนิด พบว่ากรดฟีนอลิกและสารกลุ่มคลอโรฟิลล์ในรางจืดมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงมาก ยิ่งไปกว่านั้น ยังพบว่ารางจืดออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทคล้ายยาบ้าจำพวกแอมเฟตามีน และสารเสพติดประเภทโคเคน กล่าวคือ สารสกัดรางจืดช่วยกระตุ้นให้สมองหลั่งสารความสุขโดปามีน ได้เช่นเดียวกับเวลาเสพยาบ้า จึงมีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาสารสกัดรางจืดเป็นยาทดแทนสารเสพติดสำหรับผู้ป่วยติดยาเสพติดเรื้อรัง
คนคลองเตยที่เกิดก่อนปี 2534 คงไม่ลืมอุบัติภัยเคมีพิษครั้งร้ายแรงที่สุดของประเทศไทยที่เกิดจากโกดังสารเคมีระเบิดทำให้คนตาย 43คน บาดเจ็บสาหัสและป่วยจากการสัมผัสสารพัดพิษเคมีและเขม่าคาร์บอนแบล็คถึง 1,700 คน มูลนิธิสุขภาพไทยเองก็ยังเก็บความภาคภูมิใจไว้จนบัดนี้ที่มีส่วนร่วมด้วยช่วยกันเยียวยาชาวสลัมคลองเตยที่ประสบภัยจากสารพิษร้ายแรงซึ่งมีผลสืบเนื่องมาอีกหลายปี โดยจัดหาสมุนไพรรางจืดให้มูลนิธิดวงประทีปใช้สำหรับต้มล้างพิษให้พี่น้องผู้ประสบภัยทั้งได้ผลดี และได้หน้าพอสมควร(ฮา)
เปรียบกับสถานการณ์ในปัจจุบันที่มีม็อบผู้ประสบภัยน้ำสารพิษสีม่วงที่หน้ารัฐสภาและท้องถนนแห่งการชุมนุม จึงขอแนะนำให้ใช้รางจืดสู้ภัยน้ำพิษสารพัดสีกรณีที่เป็ดเหลืองเอาไม่อยู่(ฮา) ขนาดและวิธีใช้รับประทาน ให้ใช้ขนาดเดียวกับที่โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราชเคยใช้รักษาผู้ป่วยถูกพิษสารพาราควอท คือ ใช้ใบรางจืดแห้ง 300 กรัม น้ำ 1 ลิตร ต้มเดือดแล้วรีไฟอ่อนอีก 15 นาที ดื่มครั้งละ 200 มิลลิลิตร ทุก 2 ชั่วโมง จนหมดในวันแรก และใช้ในขนาดเท่านี้ต่อเนื่องอีก 14 วัน อาการเบื่อเมาและพิษข้างเคียงที่ผิวหนังจะลดลง ในรายที่ผิวหนังถูกพิษพุพอง ปวดแสบปวดร้อน ให้ใช้วิธีต้มน้ำอาบหรือตำใบรางจืดสดผสมน้ำหรือน้ำซาวข้าวพอกบริเวณผิวหนังที่อักเสบพุพอง
ขนาดเบิ้มๆ ข้างต้นแนะนำให้ใช้กับผู้ที่กินเหราหรือหมึกบลูริง และม็อบผู้ประสบภัยจากน้ำสีม่วง (ฮา) แต่ในที่นี้ขอแนะนำขนาดเบาๆ ที่ใช้ในการล้างพิษประจำวันสำหรับคนทั่วไปที่ได้รับสารเคมีจากผักที่บริโภคหรือจากฝุ่น PM 2.5คือ การชงดื่มอุ่นๆ ขนาด 2 กรัม ในน้ำ 200 มิลลิลิตร หลังอาหาร 3 มื้อ เพียงเท่านี้ทุกชีวิตก็ปลอดพิษสารเคมี แต่ยังไม่ปลอดภัยจากพิษการเมือง(ฮา) หากสนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม งานบริการสาธารณะประโยชน์ได้ที่คลินิกการแพทย์แผนไทยสุขภาพไทย โทร 081-300-3300 นะ.