ในมุมภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพ สุรายาดองเป็นความรู้โบราณที่สืบต่อกันมา ที่จริงไม่ใช่เฉพาะในไทยเท่านั้น เพื่อนบ้านในเอเชีย ลาว เขมร เวียดนามและจีน ก็มีสูตรยาดองเหล้ามากมายตามวัฒนธรรมท้องถิ่นและสมุนไพรพื้นบ้านของตนเอง และในวิถีพื้นบ้านจะมีกฎ กรอบ แนวปฏิบัติที่คนในชุมชนสร้างไว้ให้ลดความเสี่ยงหรือป้องกันอันตราย ยาสมุนไพรที่นำมาดองด้วยสุรานั้นมักจะเป็นความรู้ที่หมอพื้นบ้านหรือผู้มีประสบาการณ์ปรุงให้ใช้ หรือทำกินเองในครัวเรือนก็จะมีผู้รู้สืบทอดทำให้กินอย่างถูกวิธี ปกติจะใช้เหล้าขาว 28 หรือ 40 ดีกรีดองยา กินแค่ครั้งละ1 ถ้วยเล็ก(ไม่เกิน 30 ซีซี) วันละ 1-2 ครั้ง เช้าและเย็นหรือก่อนนอน กินเท่าที่จำเป็นเพื่อแก้ไขปัญหาสุขภาพ ไม่ได้ซื้อหาง่าย ๆ ตามซุ้มเช่นวันนี้
กล่าวทางวิชาการ การดองยาเป็นวิธีหนึ่งในการปรุงยาตามความรู้ภูมิปัญญามาแต่ดั้งเดิม เครื่องดองยาไม่ได้มีเพียงสุราหรือเหล้าที่เราคุ้นเคย ตำรับยาจำนวนไม่น้อยมีวิธีการดองยาที่ต่างออกไป เช่น ใช้เกลือหรือน้ำเกลือดองยา ใช้น้ำผึ้งดองยา ใช้สมุนไพรรสเปรี้ยวดองยา เช่น น้ำมะนาว น้ำมะกรูด ยาดองน้ำมูตรหรือใช้น้ำปัสสาวะดองยา ซึ่งปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกกล่าวว่า “ให้พระภิกษุฉันยาดองน้ำมูตร เพื่อรักษาอาการอาพาธ” ตัวอย่างยาดองที่พระภิกษุใช้มาแต่อดีต เช่น สมอดองน้ำมูตร เป็นต้น และยังมีการดองยากับแป้งข้าวหมาก โดยการนำสมุนไพรหมักทิ้งไว้ในแป้งข้าวหมาก จะได้ทั้งตัวยาสมุนไพรและในข้าวหมากจะมีโพรไบโอติกส์ ที่ดีต่อระบบการย่อยอาหารด้วย
ในจำนวนวิธีดองยาต่าง ๆ นั้น ดูเหมือน การดองด้วยน้ำผึ้งและดองด้วยสุราจะเป็นที่นิยมมากกว่าใคร โดยเฉพาะความนิยมในสรรพคุณยาดองเหล้าช่วยบำรุงร่างกาย คลายอาการเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ช่วยบำรุงโลหิต ช่วยให้กระชุ่มกระชวย รวมถึงการบำรุงเรื่องเพศหรือบำรุงกำหนัดด้วย และเมื่อผสมกับฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่กินเข้าไปแล้วจะทำให้รู้สึกมีความสุขชั่วขณะ เคลิ้ม ๆ เพลิน ๆ ก็จะเป็นข้ออ้างได้ง่ายว่า ยาดองสมุนไพรนี้ฤทธิ์ดีกว่าตำรับอื่น ๆ แต่เมื่อกินยาดองเหล้าผิดวิธี กินจำนวนมากและต่อเนื่องนาน ๆ ก็มีโอกาสติดสุราเป็นผลเสียแทนที่จะได้สรรพคุณจากสมุนไพร
ภูมิปัญญาท้องถิ่นจึงมีความรู้อีกมากมายที่เป็นตำรับยาสมุนไพร และเป็นคำตอบในการช่วยบำรุงสุขภาพ แก้ปวดเมื่อยตัว เป็นทางเลือกที่ไม่ต้องใช้สุรามาดองยา เช่น ตำรับดองน้ำผึ้งสุดคลาสสิก 2 ตำรับ คือ กล้วยน้ำว้าสุกดองน้ำผึ้ง ซึ่งคำโบราณท่านกล่าวให้ใช้กล้วยน้ำว้าจำนวนเท่ากับอายุผู้กิน ใช้น้ำผึ้งแท้จากป่าธรรมชาติยิ่งดี นำกล้วยน้ำว้าไม่สุกไม่ดิบ ปอกเปลือกออก แช่น้ำผึ้งในขวดโหลนาน สัก 2 สัปดาห์ เคล็ดลับ อย่าปิดฝาโหล ให้ใช้ผ้าขาวบางปิดเพื่อกันฝุ่นและแมลงลงไปก็พอ เพราะถ้าปิดฝาสนิททำให้เกิดการหมัก คล้ายการหมักไวน์ผลไม้น้ำผึ้งหรือตัวยาจะมีรสเปรี้ยว และอีก 1 ตำรับ คือ บอระเพ็ดดองน้ำผึ้ง ให้นำเถาบอระเพ็ดมาล้างน้ำ ผึ่งให้แห้ง นำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่น้ำผึ้งดองในขวดโหล การดองน้ำผึ้งอย่างน้อย 1 เดือน แต่ก็มีบางท่านต้องการกินเร่งด่วนก็ดองไว้สัก 1 สัปดาห์
สำหรับสูตรยาบำรุงร่างกายที่มีสรรพคุณเด่นไม่แพ้การดองสุรา ซึ่งมีการกล่าวไว้ในตำรายาและประสบการณ์ของหมอพื้นบ้านในอดีตนั้นมีสูตรยามากมาย จะขอนำเสนอเพียง 2 ตำรับ คือตำรับที่ 1 ใช้ต้นเหงือกปลาหมอ 2 ส่วน พริกไทย 1 ส่วน ให้นำตัวยาทั้งสอง ตากแดดให้แห้ง นำมาบดเป็นผง และละลายกินกับน้ำหรือละลายผสมกับน้ำผึ้ง กินครั้งละ 1 ช้อนชา เช้า -เย็น กินทุกวัน ต่อเนื่องสัก 1-2 เดือน แล้วให้หยุดยา ตำรับนี้ให้คนวัยเกิน 40 ปีกิน เพราะเป็นยาร้อนวัยหนุ่มสาวกินจะเผาผลาญทำให้แก่ก่อนวัยได้
ตำรับที่ 2 ยาอายุวัฒนะของแท้ดั้งเดิม เขียนเป็นปริศนาให้ถอดรหัสว่า “ผึ้งอากาศ พาดยอดไม้ หงายธรณี ลูกทาส ลูกไทย พญาช้างดำ พระยาช้างเผือก บวชหนีสงสาร ไปนิพพานไม่กลับ” ถอดรหัสได้ว่า ผึ้งอากาศคือน้ำผึ้ง พาดยอดไม้คือเถาบอระเพ็ด หงายธรณีคือหญ้าแห้วหมู ลูกทาสคือเม็ดข่อย ลูกไทยคือพริกไทย พญาช้างดำคือเปลือกตะโกนา พระยาช้างเผือกคือเปลือกถ่อน(ต้นทิ้งถ่อน) บวชหนีสงสารคือขมิ้นหัวขึ้น(ขมิ้นอ้อย) ไปนิพพานไม่กลับคือผักเสี้ยนผี สรุปความนำสมุนไพรทั้งหมด อย่างละเท่าๆ กัน ตากแห้งแล้วบดเป็นผง ปั้นผสมน้ำผึ้งเป็นเม็ดลูกกลอน ขนาดเท่าเม็ดพุทรา แล้วตากให้แห้งจึงเก็บได้นาน กินครั้งละ 1-2 เม็ด วันละ 1-2 ครั้ง เช้าและเย็นหรือก่อนนอน กินสัก 1-2 เดือน แล้วหยุดยาบ้าง
แม้ว่าภูมิปัญญาจะมียาดองม้ากระทืบโรง กำลังวัวเถลิง โด่ไม่รู้ล้มหรือยาสมุนไพรดีแค่ไหน ก็น่าจะสู้ยาอายุวัฒนะตามคำโบราณกล่าวไว้ว่า รู้จักกิน รู้จักนอน(แต่หัวค่ำ) ขับถ่ายทุกวัน เรียนรู้ฝึกใจให้สงบเย็น อยู่กับธรรมชาติ คบหากัลยาณมิตร และทำกิจช่วยเหลือคนอื่นเสมอ ๆ นี่คือยาอายุวัฒนะ เสริมสร้างกำลังกายใจสุขภาพดีแน่นอน.