ชาวฮินดูนับถือว่าเป็นวัตถุมงคลและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นของสูงถึงขนาดนำมาใช้ชำระล้างมณฑลพิธีให้บริสุทธิ์สำหรับพิธีราชาภิเษกและพิธีกรรมต่าง ๆ ของชาวภารตะ ตามร้านเทวภัณฑ์ทั่วไปในอินเดียจึงมีผงโคมัย (ขี้วัว) ไว้จำหน่ายเสมอ
แม้ชาวพุทธจะไม่ใช้มูลโคประกอบพิธีกรรมเหมือนชาวฮินดู แต่ในพระวินัยมีพุทธานุญาติให้พระภิกษุสงฆ์ใช้มูลโคแห้งเป็น จุณเภสัช คือ ยาผงทำมาจากมูลโคผสมน้ำพอเปียกเป็นยาใช้ภายนอกพอกผิวหนังมีสรรพคุณแก้หิด ตุ่มพุพอง ฝีดาษ หรือใช้เกลื่อนฝีหัวหนอง และช่วยดับกลิ่นตัวแรง นอกจากนี้ยังทรงมีพุทธานุญาตให้ใช้มูตรโค (น้ำเยี่ยววัว) เป็นยา ในพระไตรปิฎกกล่าวว่า น้ำสมอดองมูตรโค มีสรรพคุณแก้โรคผอมเหลือง หรือโรคดีซ่านได้ หมอไทยโบราณใช้ขี้วัวดำปรุงเป็นทั้งยากินและยาภายนอก ใช้ทั้งแบบแห้งและสด ขี้วัวดำแห้งมีรสขมเย็น กินเป็นยาดับพิษร้อน ถอนพิษไข้พิษกาฬ ส่วนขี้วัวสดหรือแห้งผสมกับใบน้ำเต้าสดและเหล้าขาว ตำคั้นเอาน้ำทาแก้เริม ไฟลามทุ่ง งูสวัด ลมพิษ และ ตุ่มพุพอง เป็นต้น
ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นการใช้ขี้วัวเป็นยากลางบ้าน ส่วนในตำรับยาหลวงมีการใช้มูลโคเป็นส่วนประกอบของยาพระโอสถพระนารายณ์ที่ใช้แก้ธาตุดินพิการ ตามหลักการแพทย์แผนไทย ธาตุดินเป็นองค์ประกอบโครงสร้างที่ทำให้ระบบของร่างกายคงรูปอยู่ได้ ตราบใดที่ธาตุดินมั่นคง แม้ธาตุน้ำ ไฟ ลม แปรปรวนไป แต่ร่างกายก็ยังสามารถฟื้นตัวกลับมามีสุขภาพแข็งแรงได้ ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคและคัมภีร์แพทย์ไทยกล่าวว่าธาตุดินมี 20 อย่าง นับตั้งแต่ผม ขน เล็บ ฟัน ผิวหนัง ไปจนถึงมันสมอง แต่มีธาตุดินสำคัญ 3 อย่างที่เป็นตัวชี้ขาดว่าถ้าเกิดวิปริตแปรปรวนเมื่อไหร่อาจตายได้เมื่อนั้น หากไม่เร่งยียวยารักษา นั่นคือ หัวใจ อาหารใหม่และอาหารเก่า
กรณี “หัวใจ” เป็นธาตุดินระดับท็อปนั้นเป็นเรื่องเข้าใจได้ เพราะถ้าหัวใจวายเมื่อไหร่อาจตายได้เมื่อนั้น แต่อาหารใหม่กับอาหารเก่าคืออะไร ทำไมถึงสำคัญนัก จึงขอวิสัชนาดังนี้ อาหารใหม่ คือ อาหารที่เราเคี้ยวกลืนลงไปตกอยู่ในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก ถ้าผิดปกติ จะเกิดอาการท้องเสีย จุกเสียด พะอืดพะอม อาเจียน สะอึก หรือกินอาหารไม่ลง ส่วนอาหารเก่า คือกากอาหารที่ตกสู่ลำไส้ใหญ่ตอนล่างและตกออกไปทางทวารหนักเป็นอุจจาระ ถ้าผิดปกติจะทำให้กินอาหารไม่รู้รส เกิดริดสีดวงทวาร เป็นต้น
กล่าวโดยสรุปอาหารใหม่ คือ ธาตุดินที่นำเข้าสู่ร่างกาย (input) และอาหารเก่า คือ ธาตุดินที่ขับออกจากร่างกาย (output) ถ้าธาตุดินออกจากร่างกายมากเกินไป จากสาเหตุท้องร่วง อหิวาต์ บิด หรือเบื่ออาหารกินไม่ได้ นอนไม่หลับ จะทำให้ธาตุดินโดยรวมพิการ มีสัญญาณความผิดปกติเบื้องต้น คือ ปวดมวนท้อง จุกเสียด ท้องขึ้น ท้องพอง เป็นริดสีดวง ตัวผอมเหลือง ลุกลามถึงขั้นเสียดสันหลัง ปวดเอว ปัสสาวะขัด บ้างครั้งท้องผูก หรือปัสสาวะ อุจจาระมีมูกเลือด เมื่อเริ่มมีอาการดังกล่าว ไม่เร่งบำบัดรักษาปล่อยให้เรื้อรัง ท่านว่าจะทำให้อายุถอยลง
ในตำราโอสถพระนารายณ์ทั้งหมด 81 ตำรับ มียาแก้ธาตุดินพิการ 6 ตำรับ มีขนานหนึ่งใช้มูลโคเป็นส่วนประกอบ ดังนี้ “ให้เอาหนังจระเข้ มูลโค นอแรด หอยขม เขากระบือ ยา 5 สิ่งนี้เผาเสียก่อน กระเทียม ลุกจันทน์ ดีปลี แห้วหมู เสมอภาค ทำเป็นจุณ ละลายน้ำร้อน กินพอควร แก้ปถวีธาตุพิการ อันให้เจ็บท้องหนักมิรู้วาย ได้กินยานี้หายแลฯ” ยาขนานนี้ระบุชัดเจนว่าอาการหลักที่เกิดจาก “ปถวีธาตุพิการ” หรือธาตุดินผิดปกติ คือ “เจ็บท้องหนักมิรู้วาย” ส่วนประกอบยามี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มยาร้อน ประกอบด้วยพืชวัตถุ 4 อย่าง และกลุ่มยาเย็น ทั้งหมดเป็นสัตว์วัตถุ 5 อย่าง มีมูลโคอยู่ในกลุ่มนี้ ซึ่งต้องนำมาเผาให้สุกเพื่อฆ่าเชื้อก่อนนำไปผสมกับเภสัชวัตถุอื่นๆ ในสูตรตำรับที่ใช้อย่างละเท่า ๆ กัน เพื่อบดทำเป็นยาผง ขนาดรับประทาน 1 ช้อนชา ละลายน้ำร้อน ก่อนอาหาร วันละครั้งเป็นประจำจนกว่าอาการดีขึ้น สำหรับนอแรดในตำรับนี้เป็นสัตว์สงวนสามารถตัดออกได้ เครื่องยานอกนั้นหาได้ง่าย สรรพคุณแก้ปวดท้องรุนแรงได้ผลดีไม่ต่างกันมากนัก
ข้อสังเกตคือ ยาแก้ธาตุดินพิการขนานนี้เป็นยาที่เคยใช้ในราชสำนักอยุธยาโบราณ จึงถือได้ว่าเป็นยาดีมีสกุล ควรนำมาพัฒนาเป็นตำรับยาประจำธาตุดินต่อไป ดังกล่าวแล้วว่าธาตุดินเป็นองค์ประกอบโครงสร้างของร่างกายเหมือนตัวถังรถยนต์ ดังที่พระพุทธศาสนาเปรียบร่างกายเป็น “สรีระยนต์” นั่นเอง ถ้าตัวถังร่างกายไม่ผุเสียอย่าง สุขภาพองค์รวมก็มั่นคง.