ภูมิปัญญาสมุนไพรไทยใช้แก้พิษฝีดาษลิง

เมื่อเดือนสิงหาคม ปีนี้ 2567 องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้ Mpox หรือโรคฝีดาษลิง (Monkeypox) ที่ระบาดมากกว่า 10 ประเทศในทวีปแอฟริกา เป็น “ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ” ทำให้ฉุกคิดถึงโรคฝีดาษหรือไข้ทรพิษ (Smallpox) ที่เคยเป็นโรคระบาดร้ายแรงบันลือโลกในอดีตกาล เพราะแม้โรคฝีดาษลิง (Mpox) กับโรคฝีดาษคน (Smallpox) จะเป็นเชื้อไวรัสคนละชนิดแต่ก็ใกล้ชิดอยู่ในกลุ่มไวรัสเผ่าพันธุ์เดียวกัน นั่นคือ ออโธพ็อกซ์ไวรัส (Orthopoxvirus)

สำหรับชาวสยามโบราณไข้ทรพิษหรือไข้ฝีดาษเป็นโรคมาจากโพ้นทะเล ซึ่งเกิดขึ้นในโลกมานานกว่า 10,000 ปีก่อนคริสตกาล จากการตรวจมัมมี่ของฟาโรห์รามเสส ที่ 5 แห่งอียิปต์โบราณ พบว่าสวรรคตด้วยโรคฝีดาษ เมื่อ 1,145 ปี ก่อนคริสตกาล และมีการระบาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนฝีดาษกลายเป็นโรคประจำถิ่นทั่วยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกา สำหรับโรคฝีดาษในไทย เริ่มมีบันทึกตั้งแต่สมัยต้นกรุงศรีอยุธยา ราว 500 ปีมานี่เอง ดังปรากฎในพระราชพงศาวดารสมัยกรุงศรีอยุธยาว่า มีพระมหากษัตริย์ไทยสวรรคตด้วยฝีดาษ ในปี พ.ศ. 2076 คือสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 พระมหากษัตริย์ ลำดับที่ 11 ของกรุงศรีอยุธยา ต่อมามีการระบาดของฝีดาษครั้งใหญ่ที่สุดในสมัยของสมเด็จพระเพทราชา (พ.ศ.2175-2246) มีผู้เสียชีวิตถึง 80,000 คน และมีการระบาดซ้ำเรื่อยมาจนถึงสิ้นสุดสมัยอยุธยาและเข้าสู่ยุครัตนโกสินทร์

ในสมัยรัชกาลที่ 3 โรคฝีดาษ หรือ ไข้ทรพิษ ได้กลายเป็น “โรคห่า” ประจำถิ่นของสยาม และเกิดระบาดขึ้นมาในระดับรุนแรงเทียบเท่ากับที่เคยเป็นมาในสมัยอยุธยา แม้มีวัคซีนป้องกันไข้ทรพิษของเอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์แล้วตั้งแต่สมัยพระนั่งเกล้าฯ พ.ศ. 2339 แต่หลังจากนั้นทุกปีก็ยังมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากจากโรคฝีดาษ คิดเฉพาะยุคใกล้ ๆ ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ยังเกิดการระบาดของโรคฝีดาษในหลายพื้นที่ทั้งในยุโรปและแอฟริกา ทำให้มีผู้เสียชีวิตราว 300-500 ล้านคนเลยทีเดียว

ดังนั้นหลังจากมีวัคซีนไข้ฝีดาษแล้วโลกต้องใช้เวลานานถึง 180 ปี กว่าที่คณะกรรมการนักวิทยาศาสตร์องค์การอนามัยโลกจะประกาศรับรองการหมดสิ้นทั่วโลกของโรคฝีดาษคน ในวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ.2522 โรคฝีดาษคนจากเชื้อไวรัสวาริโอลา นับเป็นโรคติดต่อในมนุษย์ชนิดเดียวจนถึงปัจจุบันที่ถูกกำจัดไปจากธรรมชาติอย่างสมบูรณ์ โดยองค์การอนามัยโลกประกาศยุติการผลิตวัคซีนหนองฝีเชื้อฝีดาษไวรัสวาริโอลาโดยเด็ดขาด เพื่อไม่ให้เชื้อไวรัสมฤตยูตัวนี้หลงเหลืออยู่ในห้องแล็บอีกเลย แต่ในความเป็นจริงเชื้อไวรัสฝีดาษคนก็ยังเก็บไว้ในห้องแล็บนิรภัยของ 2 มหาอำนาจ คือ สหรัฐอเมริกาและรัสเซีย และขณะนี้กลับปรากฏเชื้อโรคในกลุ่ม “ออโธพ็อกซ์ไวรัส” ระบาดในธรรมชาติอีกครั้งในชื่อใหม่ว่าโรคฝีดาษลิง โดยกล่าวอ้างว่าเป็นเชื้อที่แพร่จากลิงสู่คน จากนั้นจึงติดต่อจากคนสู่คนอย่างรวดเร็ว โดยมีแหล่งกำเนิดในทวีปแอฟริกา (แต่ก็มีคำถามว่า จริงหรือมั่ว ชัวร์หรือไม่ ?) จนพบว่ามีผู้เสียชีวิตกว่า 450 คนในปีพ.ศ.2567 นี้ WHO จึงประกาศเตือนภัยให้โรคฝีดาษลิง เป็นภัยฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศดังกล่าวแล้ว

แม้ความรุนแรงของโรคฝีดาษลิงจะเบากว่าโรคฝีดาษคนหลายเท่าก็ตาม แต่ก็มีการแพร่ระบาดและอาการคล้ายคลึงกัน คือ ติดต่อด้วยการสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่งที่แพร่จากการไอ จาม ผื่น ตุ่มหนอง การใช้สิ่งของร่วมกันกับผู้ป่วย การพูดคุยหรือหายใจรดกัน รวมถึงทางเพศสัมพันธ์ โรคฝีดาษลิงมีระยะฟักตัวอยู่ที่ 5 – 20 วัน เริ่มมีอาการคล้ายเป็นหวัด มีไข้ หนาวสั่น ปวดเมื่อยตามตัว ปวดหลัง ปวดกระบอกตา ปวดกล้ามเนื้อ เจ็บคอ อ่อนเพลีย หลังจากนั้นประมาณ 4–5 วันจะมีผื่น ฝีพุพองจำนวนมากขึ้นบริเวณแขน ขา ลำตัว ใบหน้าฝีดาษลิงเมื่อเป็นแล้วสามารถหายจากโรคเองได้ในคนที่แข็งแรง ไม่ร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 2 – 4 สัปดาห์จึงหายจากโรค แต่สำหรับเด็ก ผู้สูงอายุและคนอ่อนแออาจมีความเสี่ยงเสียชีวิตได้เช่นกัน จึงไม่ควรประมาท

เนื่องจากโรคฝีดาษเป็นภัยต่อความมั่นคงทางประชากรของรัฐไทยในอดีต ดังนั้นคัมภีร์แพทย์หลวงจึงมียารักษาโรคฝีดาษนับร้อยตำรับปรากฏอยู่ใน “จารึกวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร รัชกาลที่ 3” “พระตำหรับแผนฝีดาษ ในตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวง รัชกาลที่ 5” และ “คัมภีร์แพทย์ไทยแผนโบราณ ว่าด้วยโรคฝีดาด และยาแก้ของขุนโสภิตบรรณลักษณ์ (อำพัน กิตติขจร) ในที่นี้ขอนำเสนอตำรับแรกจากคัมภีร์ของขุนโสภิตบรรณลักษณ์ ซึ่งกล่าวถึงการปลูกฝีป้องกันและการใช้ยาแก้โรคฝีดาษไว้เสร็จสรรพ ดังนี้

ฝีดาดเป็นโรคมีเชื้อติดต่อกันได้ง่าย ฝีดาดเป็นโรคเป็นครั้งเดียว ผู้ที่เป็นแล้วจะไม่เป็นอีก และเป็นโรคที่มีวิธีป้องกันได้ คือเอาเชื้อของฝีดาดมาปลูกลงในคน เมื่อเอาเชื้อปลูกลงในคนแล้ว จะมีฝีเกิดขึ้น แต่ฝีที่ปลูกนี้ไม่มีพิษร้ายแรงอย่างใด เมื่อปลูกแล้วจะช่วยป้องกันฝีเถื่อน (ไข้ทรพิษร้ายแรง)ได้ มียาแก้ดังต่อไปนี้ ยาแก้ไข้ฝีดาด เอาใบมะกรูด ใบมะนาว ใบมะงั่ว เอาเสมอภาค ใบตำลึงตัวผู้เท่ายาทั้งหลาย กิน ชโลม แก้ร้อนพิษฝีดาด

ตำรับยานี้ประกอบด้วยสมุนไพรสวนครัวที่หาง่าย ใช้แต่ส่วนใบเท่านั้น วิธีทำจะใช้ใบสดหรือแห้งก็ได้ โดยนำใบสมุนไพร 3 ชนิดแรกอย่างละ 1 ส่วนน้ำหนัก กับ ใบตำลึงตัวผู้ 3 ส่วนน้ำหนัก ถ้าปรุงยาสดก็ง่ายมาก นำใบยาทั้งหมดมาตำแหลกหรือปั่นคั้นเอาน้ำดื่มครั้งละ 1-2 ช้อนชา 3 เวลาก่อนอาหาร และก่อนนอน เป็นเวลา 5-7 วัน เพื่อหนุนหนองฝีให้ผุดขึ้นบนผิวหนัง และช่วยแก้ร้อนพิษฝีดาษ ในขณะเดียวกันก็ใช้น้ำซาวข้าวเท่าน้ำยาผสมเพื่อชโลมเกลื่อนฝีหนองทั่วร่างกายวันละ 2-3 ครั้ง สำหรับใบสมุนไพรแห้งนำมาบดผงหรือผสมน้ำผึ้งปั้นเม็ดขนาด 250 มิลลิกรัม ชนิดผงรับประทาน 1 ช้อนชาผสมน้ำผึ้ง ส่วนชนิดเม็ดครั้งละ 10 เม็ด เด็กลดลงตามส่วน ระยะเวลารับประทานเหมือนสมุนไพรสด

ในอดีตยาสมุนไพรตำรับนี้เคยใช้รักษาโรคฝีดาษซึ่งรุนแรงกว่าโรคฝีดาษลิง หากสถาบันวิจัยยาทั้งภาครัฐ และมหาวิทยาพัฒนาตำรับยาสมุนไพรสูตรนี้เป็นยาต้านไวรัสฝีดาษลิง ก็จะเป็นทางเลือกหนึ่งในการพึ่งตนเองด้านยาของประเทศที่มีความสำคัญมากเลยทีเดียว

https://www.thefest.com/Images/acetoto888/ https://www.thefest.com/Images/acegaming888/ https://www.thefest.com/Images/plazaslot/
slot thailand