กรมควบคุมมลพิษเผยผลสำรวจสถานการณ์มลพิษของไทยปี2555ในทุกสถานการณ์สร้างสถิตน่าตกใจ ทั้งฝุ่น หมอกควัน คุณภาพอากาศย่ำแย่ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ พบทั้งฝุ่น และสารอินทรีย์ระเหย ขณะที่คุณภาพน้ำทะเลและแม่น้ำต่ำลง เจ้าพระยา-ป่าสักต้องเร่งแก้ไขด่วน ขยะทั้งของเสียชุมชน ขยะอิเล็คโทรนิค และของเสียจากโรงงานพุ่งสูงกว่า4แสนตัน
คุณภาพอากาศไทยยังมีปัญหาเรื่องฝุ่น
กรมควบคุมมลพิษเปิดเผยผลการสำรวจสถานการณ์มลพิษของประเทศไทย ปี 2555 ในทุกสถานการณ์สร้างสถิตน่าตกใจ จากการตรวจวัดสารมลพิษทางอากาศ 5 ชนิด ได้แก่ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไนโตรเจน ไดออกไซด์ คาร์บอนมอนอกไซด์ โอโซน และฝุ่น สรุปว่า คุณภาพอากาศในภาพรวมของประเทศไทยยังมีปัญหาเรื่องฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10) โดยมีค่าเฉลี่ยรายปี และค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมงสูงสุด เท่ากับ 42 และ 142 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2554 (39 และ 113 มคก./ลบ.ม.) แต่ส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน และช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ฝุ่น PM10 มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง พื้นที่ที่เกินเกณฑ์มาตรฐานก็ลดลง เป็นผลมาจากมาตรการควบคุมฝุ่นจากการก่อสร้าง การปรับเปลี่ยนมาตรฐานยานพาหนะใหม่และการควบคุมการเผาในที่โล่ง อย่างไรก็ตามในปี 2555 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
พื้นที่ที่มีปัญหาคุณภาพอากาศมาก ได้แก่ จ.สระบุรี เนื่องจากอุตสาหกรรมโรงโม่ บดหิน รองลงมา คือ จังหวัดในกลุ่มภาคเหนือตอนบน ในช่วงสถานการณ์หมอกควัน กรุงเทพมหานครและจังหวัดในปริมณฑล ได้แก่ สมุทรปราการ นนทบุรี สมุทรสาคร เนื่องจากการจราจร โรงงานอุตสาหกรรม และการก่อสร้าง
ภาคเหนือยังแก้ปัญหาหมอกควันไม่ได้
ส่วนสถานการณ์หมอกควันพื้นที่ภาคเหนือ ปี 2555 ต้องถือว่าระดับปัญหาเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา เพราะฝุ่น PM10 เพิ่มขึ้นทุกจังหวัด โดยเฉพาะที่ อ.แม่สาย เชียงราย สูงสุดอยู่ที่ 470 มคก./ลบ.ม. (มาตรฐานเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ต้อง ไม่เกิน 120 มคก./ลบ.ม.) มากกว่ามาตรฐาน 3 เท่า อยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ สอดคล้องกับปริมาณจุดความร้อนที่เพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม และสูงขึ้นต่อเนื่องถึงเดือนเมษายน รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านด้วย คือ พม่า และลาว ดังนั้นตั้งแต่ปลายปี 2555 กรมควบคุมมลพิษจึงเตรียมพร้อมเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาหมอกควัน และขณะนี้มาตรการต่าง ๆ ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว เมื่อวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา
พบสารเบนซีนเกินมาตรฐานในกรุงเทพฯ
พื้นที่กรุงเทพมหานคร มีปัญหาคุณภาพอากาศเรื่องฝุ่น PM10 มากที่สุดในเขตพญาไท ราษฎร์บูรณะ ธนบุรี ดินแดง บางนา ราชเทวี จตุจักร ยานนาวา บางขุนเทียน บางกะปิ ห้วยขวาง วังทองหลาง ป้อมปราบศัตรูพ่าย และปทุมวัน
สำหรับสถานการณ์ของสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ในบรรยากาศในกรุงเทพมหานคร พบสารเบนซีน เกินมาตรฐานบริเวณจุดเก็บตัวอย่างริมถนน แต่ค่าความเข้มข้นมีแนวโน้มลดลงทุกจุดเก็บตัวอย่าง ตั้งแต่ปี 2553-2555 ส่วนใน จ.ระยอง สารเบนซีน สาร 1,3-Butadiene และสาร 1,2-Dichloroethane มีค่าสูงเกินมาตรฐาน แต่สถานการณ์มีแนวโน้มดีขึ้น โดยความเข้มข้นสารเบนซีน และ 1,2-Dichloroethane มีค่าลดลง ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ การจำหน่ายและใช้น้ำมันมาตรฐาน EURO 4 และการควบคุมการระบายสาร VOCs จากกิจกรรมต่าง ๆ ยกเว้นสาร 1,3-Butadiene มีค่าเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้พารามิเตอร์ที่ต้องจับตามองและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดคือ ก๊าซโอโซนระดับผิวพื้น เพราะปริมาณค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้น อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2546 และ ในปี 2555 พบเกินมาตรฐานในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ส่วนสารมลพิษอื่นไม่ว่าจะเป็นก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ และสารตะกั่ว ไม่เกินมาตรฐานทุกพื้นที่และทุกช่วงเวลา
คุณภาพแม่น้ำ 80 % อยู่ในระดับแค่พอใช้
คุณภาพน้ำแม่น้ำสายหลักทั่วประเทศ จำนวน 48 สาย และแหล่งน้ำนิ่ง 4 แห่ง ปี 2555 ร้อยละ 80 มีคุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์ตั้งแต่ระดับพอใช้ขึ้นไป เมื่อเทียบกับปี 2554 อาจไม่ดีขึ้น (ร้อยละ 85) แต่ถ้าดูในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา ถือว่ามีแนวโน้มดีขึ้น (ร้อยละ 72 ในปี 2551) เนื่องจากแหล่งน้ำที่อยู่ในเกณฑ์เสื่อมโทรมลดลง เพราะเป็นพื้นที่เป้าหมายในการแก้ไขปัญหาของกรมควบคุมมลพิษ และของกระทรวง เช่น แม่น้ำท่าจีนตอนบน-ตอนล่าง ลำตะคอง ทะเลสาบสงขลา เป็นต้น
พื้นที่ที่ต้องแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำโดยเร่งด่วน ได้แก่ แม่น้ำเจ้าพระยา สมุทรปราการ นนทบุรี แม่น้ำท่าจีน สมุทรสาคร นครปฐม แม่น้ำป่าสัก สระบุรี เป็นต้น
น้ำทะเลเสื่อมโทรมมาก บริเวณอ่าวตัว ก
คุณภาพน้ำทะเลมีแนวโน้มเสื่อมโทรมลง เนื่องจากบริเวณที่เคยมีคุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์ดีและดีมาก ลดน้อยลงอย่างมาก (เกณฑ์ดี จากร้อยละ 16 ในปี 2551 ร้อยละ 2 ในปี 2554 เป็นไม่มีเลยในปี 2555 และเกณฑ์ดีมาก จากร้อยละ 48 ในปี 2551 ร้อยละ 36 ในปี 2554 เป็นร้อยละ 15 ในปี 2555) ได้แก่ อ่าวไทยฝั่งตะวันออก บริเวณเกาะเสม็ด (อ่าวทับทิม) จ.ระยอง อ่าวไทยฝั่งตะวันตก หาดเจ้าสำราญ หาดปึกเตียน จ.เพชรบุรี อ่าวมะนาว กองบิน 53 หัวหิน เขาตะเกียบ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ปากแม่น้ำชุมพร อ่าวปากหาด หาดภารดรภาพ จ.ชุมพร เกาะสมุย เกาะพงัน จ.สุราษฎร์ธานี ชายฝั่งอันดามัน บริเวณ หาดกะรน จ.ภูเก็ต เกาะพีพี จ.กระบี่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชายหาดท่องเที่ยวและชุมชน และบริเวณที่คุณภาพน้ำเสื่อมโทรมมากมาโดยตลอดคือ อ่าวไทยตอนใน (อ่าวไทยรูปตัว ก)
ประเทศไทยทิ้งขยะปีละ 16 ล้านตัน
สำหรับสถานการณ์ขยะมูลฝอยในชุมชน ของปี 2555 เกิดขึ้นประมาณ 16 ล้านตัน หรือ 43,000 ตันต่อวัน ลดลงจากปีที่ผ่านมาประมาณ 80,000 ตัน (ปี 2554 มีขยะเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ จากกรณีอุทกภัย) โดยร้อยละ 22 เป็นขยะที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร (9,800 ตันต่อวัน) ทั้งนี้ขยะทั้งหมดถูกนำไปกำจัดอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการเพียง 5.8 ล้านตัน หรือร้อยละ 36 ขยะส่วนที่เหลือกว่า 10 ล้านตัน ถูกกำจัดทิ้งโดยการเผา กองทิ้งในบ่อดินเก่าหรือพื้นที่รกร้าง ซึ่งส่วนที่จัดการไม่ถูกต้องจะเพิ่มขึ้นทุกปีจากขยะคงค้างและปริมาณขยะที่เพิ่มขึ้น
จังหวัดที่น่าห่วงใยในเรื่องการจัดการขยะมูลฝอย เมื่อพิจารณาจากปริมาณมูลฝอยตกค้างและปริมาณสะสมในสถานที่กำจัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ตาก นครปฐม นครศรีธรรมราช ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สงขลา สมุทรปราการ สมุทรสาคร สุรินทร์ เป็นต้น
ของเสียอันตรายเกือบ 4 ล้านตัน
ของเสียอันตราย ผลการศึกษาของกรมโรงงานอุตสาหกรรมจากการสำรวจปริมาณกากของเสียอุตสาหกรรม ในปี 2555 มีปริมาณที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ จำนวน 3.95 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 84 ของปริมาณของเสียอันตรายทั้งหมด ซึ่งแม้ว่าจะมีการกำกับดูแลการจัดการของเสียที่เกิดจากการประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรม โดยโรงงานรับจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุไม่ใช้แล้ว ที่เป็นของเสียอันตราย ทั้งประเทศกว่า 300 แห่ง ซึ่งรองรับของเสียอันตรายได้กว่า 10 ล้านตัน แต่ยังพบปัญหาการลักลอบทิ้งกากของเสีย ซึ่งในปี 2555 เกิดขึ้นหลายครั้งในหลายพื้นที่ เช่น นิคมอุตสาหกรรมบางปู สมุทรปราการ ต.หนองแหน ฉะเชิงเทรา และบางพื้นที่ในจังหวัดมหาสารคาม เป็นต้น
จากปัญหาดังกล่าวจึงนำไปสู่การเร่งรัด ทบทวน และเพิ่มเติมมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งและบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมที่เป็นอันตรายโดยกรมควบคุมมลพิษ จะนำเสนอมาตรการดังกล่าวต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการต่อไป
ส่วนของเสียอันตรายจากชุมชน ประมาณ 700,000 ตัน (ร้อยละ 15) ของปริมาณของเสียอันตรายทั้งหมด ซึ่งเป็นซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 360,000 ตัน และของเสียอันตรายอื่น ๆ กลุ่มแบตเตอรี่ หลอดไฟ ภาชนะบรรจุสารเคมี 354,000 ตัน จะต้องสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีสถานที่กำจัดหรือจัดการส่งไปกำจัดยังอปท. ที่มีสถานที่กำจัดหรือผู้ให้บริการรีไซเคิลหรือกำจัดของเสียอันตราย
ขยะติดเชื้อน่าห่วง ร.พ.ไม่กำจัดหลังเตาเผาพัง
ในส่วนของมูลฝอยติดเชื้อ ซึ่งขณะนี้ข้อมูลระบุว่ามีอยู่ประมาณ 43,000 ตัน (ร้อยละ 1 ของปริมาณของเสียอันตรายทั้งหมด) ตัวเลขนี้ก็ยังไม่สะท้อนปริมาณที่เกิดขึ้นทั้งหมด เนื่องจากยังขาดการรวบรวมข้อมูลการเกิดมูลฝอยติดเชื้อจากสถานพยาบาล คลินิค หรือโรงพยาบาลเอกชนในทุกประเภทและทุกขนาด ขณะนี้ กรมควบคุมมลพิษ ได้มีข้อตกลงความร่วมมือกับกรมอนามัย ที่จะวางระบบการบริหารจัดการขยะติดเชื้อของโรงพยาบาลทั่วประเทศ ตั้งแต่การรวบรวมข้อมูล การกำกับการขนส่ง (Manifest) วิธีกำจัด และการควบคุมบริษัทที่รับขยะเหล่านี้ไปกำจัด เนื่องจากปัจจุบันเตาเผาของโรงพยาบาล ส่วนใหญ่ชำรุดเสียหาย ทำให้โรงพยาบาลหลายแห่งส่งขยะติดเชื้อไปกำจัดยังเตาเผามูลฝอยติดเชื้อของ อปท. ที่มีอยู่เพียง 14 แห่งทั่วประเทศ และเตาเผาของเอกชนซึ่งก็มีอยู่เพียง 3 แห่ง
ปีที่ผ่านมากรมควบคุมมลพิษตรวจสอบ เพื่อบังคับใช้กฎหมายกับแหล่งกำเนิดมลพิษ อาคารประเภท ก การเลี้ยงสุกร ที่ดินจัดสรร ระบบบำบัดน้ำเสียรวมชุมชน นิคมอุตสาหกรรมและเขตประกอบการอุตสาหกรรม ซึ่งโดยภาพรวมมีการปฏิบัติตามกฎหมายเพียง ร้อยละ 43 และเจ้าพนักงานควบคุมมลพิษ ออกคำสั่งให้แหล่งกำเนิดเหล่านี้จัดให้มีระบบบำบัดน้ำเสีย เปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือปรับปรุงระบบบำบัดน้ำเสียเพื่อให้บำบัดน้ำทิ้งให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ส่วนการตรวจสอบยานพาหนะ พบรถยนต์ควันดำเกินมาตรฐาน ประมาณไม่เกินร้อยละ 20
สำหรับเรื่องร้องเรียน ในปี 2555 กรมควบคุมมลพิษรับเรื่องร้องเรียนปัญหามลพิษ รวม 431 เรื่อง มีการตรวจสอบ ติดตามผล ประสานแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่แล้ว 361 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 84 พื้นที่ ที่ได้รับการร้องเรียนมากที่สุดคือ กรุงเทพมหานคร (ร้อยละ 49) รองลงมา ได้แก่ ปทุมธานี นครปฐม นนทบุรี สมุทรสาคร ปัญหาที่ได้รับการร้องเรียนมากที่สุดเรียงตามลำดับ คือ กลิ่นเหม็น ฝุ่นละออง/เขม่าควัน และเสียงดัง/เสียงรบกวน
ทีมา : www.biothai.org